ธนาธิป เทียมราษฎร์

ธนาธิป เทียมราษฎร์

นักสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยร้อยยิ้ม ชื่นชอบศาสตร์แห่งการเป็นพี่เลี้ยงเพื่อพัฒนาเยาวรุ่นด้วยความคิดสร้างสรรค์
siy_ss_cover
ข่าวสาร

หลักสูตรผู้จัดการความสร้างสรรค์ส่งเสริมพลังคนรุ่นใหม่ด้วยกิจกรรมเชิงบวก #สปาร์คท้องถิ่น

“เมื่อเยาวชนไม่ใช่ผู้รอรับ แต่หากคือผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และคุณสามารถร่วมเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างพวกเขาด้วยพลังที่สร้างสรรค์” พัฒนาทักษะแห่งการใช้ศิลปะแห่งความสร้างสรรค์ ออกแบบกิจกรรมที่สร้างความหวังให้แก่คนรุ่นใหม่และชุมชน ด้วยเทคนิคการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย และการพัฒนาเยาวชนเชิงบวก ด้วยหลักการที่หลักสูตรนี้ยึดถือ 3 ข้อ ได้แก่ หนึ่ง/ Empowerment – ทลายความเชื่อที่มาบดบังความงดงามของตน กล้าที่จะเปิดเผยความแปลกใหม่ท่ามกลางสังคมแห่งอำนาจและความหวาดกลัว ฝึกพัฒนาพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เพิ่มพูนทักษะอำนวย “สปิริตแห่งความสร้างสรรค์” ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นโดยการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ สอง/ Movement – เท่าทันความสั่นไหวของจิตเมื่อได้สบตากับการเปลี่ยนแปลง สังเกตความงามของความเคลื่อนไหวเพื่อการเรียนรู้ คืนอำนาจและอิสระการเป็นเจ้าของความรู้สู่ผู้เรียน สร้างความมั่นคงทางอารมณ์เมื่อการเคลื่อนไหวของการเรียนรู้ในวันที่ไม่เป็นดั่งใจ ลับคมสัญชาตญาณความเป็นครูนักอำนวยความสร้างสรรค์ สาม/ Magic Momentum – การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่พิเศษและน่าจดจำโดยยึดกลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง มีความไวต่อประกายในดวงตาของผู้เรียน พัฒนาเทคนิคการเสริมพลังต่อยอดจุดแข็งของผู้เรียนให้เกิดความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ให้ความสำคัญและตระหนักถึงช่วงเวลาของการฝังอุปนิสัยเชิงบวกแก่ผู้เรียนด้วยการถอดบทเรียนกับคำถามทรงพลัง และการเคียงข้างแบบเพื่อนมนุษย์ของครูอำนวย เนื้อหา /กิจกรรมในหลักสูตร ความสร้างสรรค์แบบองค์รวม : ร่างกายของมนุษย์เปรียบดั่งพื้นที่แห่งความทรงจำที่สะสมประสบการณ์และเรื่องราวจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ความสร้างสรรค์จึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นผลจากบริบทแวดล้อมที่หล่อหลอมมาอย่างต่อเนื่อง ผสานเข้ากับจุดแข็ง ความสนใจ และความใส่ใจของผู้เรียน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิดและการแสดงออกที่สร้างสรรค์อย่างเป็นเอกลักษณ์ นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพและการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สอดคล้องกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม บทบาทของครูอำนวยความสร้างสรรค์ : การฟังอย่างลึกซึ้ง การตั้งคำถามอย่างทรงพลัง และการสะท้อนความคิดอย่างมีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและปลอดภัย เทคนิคเหล่านี้จะมีพลังมากขึ้นเมื่อครูอำนวยและผู้เรียนร่วมมือกันสร้างรากฐานแห่งความไว้วางใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเสรี เสริมสร้างความมั่นใจในการแสดงออก และกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และมีความหมาย เทคนิคการออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์ : การออกแบบเป้าหมายของกิจกรรมให้ชัดเจน ท้าทาย และดึงดูดใจ เป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นให้ผู้เรียนหรือกลุ่มเยาวชนทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ให้ก้าวหน้าสูงสุด มีความสามารถวิเคราะห์ตัวอย่างกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเข้าถึงแหล่งไอเดียที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างการออกแบบกิจกรรมที่มีความหมายต่อทุกคนในชุมชนท้องถิ่น กำหนดการเรียนรู้ วันที่ 1 : 24 มิ.ย. 68 TRUST THE MOVEMENT วิชา 01 การวางใจ พลังแห่งจินตนาการ และความเป็นไปได้ วิชา 02 การพัฒนาบทสนทนาที่ทรงพลังและสร้างสรรค์ วันที่ 2 : 25 มิ.ย. 68 HOLISTIC CREATIVITY AND MAGIC MOMENTUM วิชา 03 แนวคิดและภาคปฏิบัติการของความสร้างสรรค์แบบองค์รวม วิชา 04 สมอง จิตใจ และร่างกาย เพื่อการเรียนรู้ด้านความสร้างสรรค์ วิชา 05 การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ด้วยวิธีคิดแบบท านองเพลง วันที่ 3 : 26 มิ.ย. 68 EMPOWER CREATIVITY วิชา 06 การออกแบบกิจกรรมเชิงบวกและการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ วิชา 07 ฝึกภาคปฏิบัติและสะท้อนการเรียนรู้ร่วมกัน วิชา 08 พี่เลี้ยงที่มีหัวใจแห่งความสร้างสรรค์ วันที่ 4 : 27 มิ.ย. 68 INTENSION CHECK OUT วิชา 09 เทคนิคการถอดบทเรียนด้วยกุญแจความทรงจำ หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร ? พี่เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับสภาเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น ครูวิชาอิสระในโรงเรียน / ครูที่ต้องการมองหาวิธีการสอนที่สร้างสรรค์ไปจากเดิม นักออกแบบการเรียนรู้ที่สนใจประเด็นความสร้างสรรค์แบบองค์รวม นักกิจกรรม/นักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องการแรงบันดาลใจเพื่อทำงานร่วมกับกลุ่มเยาวชน หลักสูตรนี้ ได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้นำกระบวนการเรียนรู้  โชติเวชญ์ อึ้งเกลี้ยง  นักออกแบบการเรียนรู้ ผู้สนใจความสร้างสรรค์แบบองค์รวม และการเคลื่อนไหวทางสังคมประเด็นการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย จบการศึกษาปริญญาโทด้านจิตวิทยาการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีประสบการณ์ทำงานด้านการเรียนรู้กับกลุ่มเยาวชน และบริหารโครงการทางสังคม 18 ปี และเป็นผู้ที่สนใจประเด็นเรื่อง วิทยาการเรียนรู้ ความสร้างสรรค์ และการส่งเสริมจุดแข็งของมนุษย์ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิทยาการเรียนรู้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ▪️โชติเวชญ์ อึ้งเกลี้ยง. (2561). “Arts of Learning ศาสตร์และศิลป์ของการเรียนรู้สู่ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง”. เอซี ปรี้นติ้ง เซอร์วิส จำกัด เข้าถึงด้วย https://siythailand.org/wp-content/uploads/2021/01/3-Art-of-Learning.pdf ▪️​โชติเวชญ์ อึ้งเกลี้ยง พิศมัย รัตนโรจน์สกุล พาสนา จุลรัตน์. (2562). กระบวนการเรียนรู้สู่เยาวชนนักคิดสร้างสรรค์. วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ . กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เข้าถึงได้จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/237812 ▪️โชติเวชญ์​อึ้งเกลี้ยง.(2568).อนุกรรมธิการพิจารณาศึกษาและจัดทำข้อเสนอในการส่งเสริมเยาวชนและสร้างคนให้เป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยภายใต้คณะกรรมการธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน

อ่านต่อ »
siy_ss_cover
ข่าวสาร

หลักสูตรผู้จัดการบริการสาธารณะเพื่อเด็กและเยาวชนแห่งอนาคต #สปริงทาว์นโลคอล

“เปลี่ยนข้อมูลท้องถิ่นให้เป็นพลัง ขับเคลื่อนบริการสาธารณะเพื่อเด็กและเยาวชน”    ท้องถิ่นมีบทบาทอย่างไร และสามารถทำบริการเพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัวในท้องถิ่นได้อย่างไรบ้าง ? SpringtoneLocal ชวนมาเรียนรู้และสำรวจการใช้ข้อมูลในการพัฒนาเมือง การสร้างการมีส่วนร่วมในท้องถิ่นในการออกแบบการจัดบริการสาธารณะ (public service) เพื่อส่งเสริมเด็กเยาวชนและครอบครัว ที่ใช้ข้อมูลเมืองมาช่วยวางแผนปัจจุบันให้ตอบสนองต่อความต้องการของเด็กเยาวชนและประชาชนในท้องถิ่น และสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เรียนรู้ทักษะการสื่อสารอย่างมีสไตล์ เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง ตลอดจนเรียนรู้การระดมทรัพยากรและการเชื่อมโยงเครือข่าย เชื่อมโยงแหล่งทุน เพื่อการพัฒนางานเด็กเยาวชนในท้องถิ่น เนื้อหา /กิจกรรมในหลักสูตร กิจกรรม Local you may know : สำรวจภาพฝันท้องถิ่นไทยอยู่ตรงไหนในโลกอนาคต กิจกรรม  บริการสาธารณะแห่งอนาคต : ฝึกการใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น กิจกรรม  ออกแบบเป็น มองเห็นเพื่อน : เชื่อมโยงการเครือข่ายแหล่งทุนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน กิจกรรม เล่าให้เด่น เห็นชีพจร : ฝึกทักษะสื่อสารและการนำเสนอให้กระชับ เข้าใจง่าย โดนใจผู้ฟัง กำหนดการเรียนรู้ วันที่ 1 : 18 มิ.ย. 68  01 ท้องถิ่นแห่งความหวัง”:: รู้จักกัน-รู้จักตัวตนของกันและกัน และแลกเปลี่ยนการสร้างความหวังของท้องถิ่นไทย วันที่ 2 : 19 มิ.ย. 68  “02 การบริการสาธารณะแห่งอนาคต” : :สํารวจบริการสาธารณะและสํารวจแนวโน้มเด็กเยาวชนไทยอยู่ตรงไหนในโลกอนาคต “03 Data driven เคลื่อนท้องถิ่นด้วยข้อมูล” :ฝึกอ่านข้อมูลดิบ การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และออกแบบการเก็บข้อมูลวางแผนการเข้าสนามจริง (กลุ่ม) “04 สนามการเรียนรู้” : การลงพื้นที่เก็บข้อมูลตามโจทย์เพื่อการเก็บข้อมูลจริง (กลุ่ม) วันที่ 3 : 20 มิ.ย. 68  “05 ออกแบบเป็น มองเห็นเพื่อน”: การสรุปข้อมูลจากพื้นที่ และฝึกออกแบบบริการสาธารณะตอลดจนมองเห็นเครือข่ายการทํางาน “06 เล่าให้เด่น เห็นชีพจร”: ฝึกเล่าเรื่องให้เห็นภาพ เพื่อให้คนฟังเห็นด้วย “07 ท้องถิ่น จินตนาการใหม่”: การเสนอ/แลกเปลี่ยนผลงานกลุ่ม วันที่ 4 : 21 มิ.ย. 68  “08 ใกล้บ้าน”: ทวนเรียนรู้ในหลักสูตร/แลกเปลี่ยนระดับภูมิภาค หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ทำงานวิเคราะห์ และ/หรือ ขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่สนใจการส่งเสริมเด็กและเยาวชนในมิติของการออกแบบบริการสาธารณะในท้องถิ่น ฝ่ายบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (นายก, ผอ.กอง,ปลัด,สมาชิกสภาท้องถิ่น ) ผู้ปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น คนทำงานด้านพัฒนาเด็กเยาวชนในท้องถิ่น หลักสูตรนี้ ได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้นำกระบวนการเรียนรู้  อนุพงษ์ จันทะแจ่ม นักมานุษยวิทยา นักเขียน ผู้สนใจประเด็นการกระจายอำนาจ การเคลื่อนย้าย การมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น ระเบียบกฎหมายท้องถิ่น จบการศึกษาจากสาขา การเมืองการปกครอง และมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประสบการณ์ความรู้ด้านการพัฒนาเด็กและยาวชน ในองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) กว่า 14 ปี  ศิริลักษณ์ ภู่วาว นักการสื่อสาร ผู้ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ตีความวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่งานออกแบบสื่อสร้างสรรค์ และการพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกืจสร้างสรรค์ จบการศึกษาจากวิทยาลัยการเมืองการปกครองท้องถิ่น ม.ขอนแก่น มีประสบการณ์ความรู้ด้านกการออกแบบการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มากกว่า 5 ปี  บทความ “มุมชวนคิดกับธุรกิจเกม” TCDC Material database https://www.tcdcmaterial.com/th/article/technology-innovation/33237 บทความ creative business ย่านศรีจันทร์ และ Project creator “Lifebrary ห้องสมุดชีวิต” TCDC ขอนแก่น  https://www.facebook.com/share/p/1BMNZAcp1M/ https://www.facebook.com/share/p/1BdSY7VT3h/ https://www.facebook.com/share/p/16GMucwQnw/ Project creator “Juad Talk: Isan Next / Entertainment Talk / Isan Link / ดีเบตดีบ่ Debate De Bor” https://www.isancreativefestival.com/isancf2022/content/34554 https://www.isancreativefestival.com/isancf2022/content/34554 ออกแบบการสื่อสารและบรรณาธิการ “เพจและเว็บไซต์ SIY Foundation” วิทยากรโครงการอบรมที่เกี่ยวข้องกับงานสภาเด็กและเยาวชนท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย  หลักสูตรพัฒนาศักยภาพบุคลากรท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์

อ่านต่อ »
siy_ss_cover
ข่าวสาร

หลักสูตรผู้จัดการความรู้เพื่อพัฒนาพื้นที่เล่นและเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น #เลิร์นอะราวนด์

“พื้นที่เรียน เล่น ของคนทุกวัย เรียนได้ทุกที่ เล่นทุกเวลา” ในท้องถิ่นของประเทศไทยส่วนใหญ่ยังขาดพื้นที่เรียนรู้และพื้นที่เล่นที่รองรับคนทุกวัย และขาดการบูรณาการองค์ความรู้สมัยใหม่ผสานเข้ากับต้นทุนท้องถิ่นหรือลักษณะเฉพาะของพื้นที่อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ท้องถิ่นขาดอัตลักษณ์ของความเป็นท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบพื้นที่เรียนรู้ การจัดการองค์ความรู้ รวมไปถึง การสื่อสารที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่น โดยจำเป็นที่จะต้องเน้นความสำคัญของการจัดสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่หลักสูตรผู้จัดการความรู้เพื่อพัฒนาพื้นที่เล่นและเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น (Learn Around) จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในการสร้างทักษะออกแบบพื้นที่เล่นและเรียนรู้ ทักษะการจัดการองค์ความรู้และทักษะการสื่อสารโดยใช้ทรัพยากรและต้นทุนที่มีอยู่ในชุมชนเป็นฐานสำคัญ เนื้อหา /กิจกรรมในหลักสูตร ความรู้ที่กินได้ ย่อยง่าย เปลี่ยนความคิด เป็นของที่จับต้องได้ จากว่างเปล่าสู่การมีความหมาย: ออกแบบพื้นที่เล่นและเรียนรู้จากต้นทุนในท้องถิ่น เปิดมุมมอง สร้างสื่อ Storyteller ไม่ใช่แค่เข้าใจแต่ต้องรู้สึก Explore safe Space เดินทางสู่พื้นที่ของหัวใจ กำหนดการเรียนรู้ สถานที่ : บ้านสวนรจนา รีสอร์ท มวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี วันที่ 1 :  27 พ.ค. 68 โลกรอบตัวเรา ดอกหญ้าในป่าปูนสู่ทุนทางสังคมรอบตัวเรา ยาใจ..ให้ผ่อนพักไปกับสายน้ําและแสงเทียน วันที่ 2 :  28 พ.ค. 68 ออกแบบพื้นที่เรียนรู้จากต้นทุนท้องถิ่น จากว่างเปล่าสู่การมีความหมาย From Space to Place ออกแบบพื้นที่ที่มีชีวิต Designing a Living Learning Space Explore safe Space พื้นที่ของหัวใจ วันที่ 3 :  29 พ.ค. 68 เปิดมุมมอง สร้างสื่อเพื่อการเรียนรู้ ออกแบบการสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลง ลองสร้าง “พื้นที่สื่อ จากทุนชุมชน” ค่ําคืนวัฒนธรรม ลองทํา พื้นที่ปล่อยของ วันที่ 4 :  30 พ.ค. 68 จากความว่างเปล่า สู่การมีความหมาย ถอดรหัสประสบการณ์สู่แนวทางการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร ? ผู้ที่สนใจการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้: บุคคลทั่วไปที่สนใจการจัดพื้นที่เรียนรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่นหรือต้องการต่อยอดองค์ความรู้เดิมของตนเองเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ในอนาคต  เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น/ข้าราชการที่ทำงานพัฒนาพื้นที่เรียนรู้: เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือข้าราชการในหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องการจัดการเรียนรู้และการพัฒนาพื้นที่ตามภารกิจงานที่ได้รับมอบหมาย  องค์กรพัฒนาเอกชนที่ขับเคลื่อนพื้นที่เรียนรู้: องค์กรภาคเอกชน หรือ NGOs ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับบริบทข้องท้องถิ่นหรือพื้นที่ทำงาน ค่าใช้จ่าย ราคาปกติ: 5,960 บาท/ท่าน (ชำระหลังจากได้รับการยืนยันการเข้าร่วมจากเจ้าหน้าที่) สำหรับท่านที่ต้องการใบกำกับภาษี/ใบเสร็จ: 7,000 บาท/ท่าน (ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) กรุณาติดต่อคุณธัญพัชรเพื่อแจ้งรายละเอียดการออกเอกสาร ทั้งนี้ ค่าการเรียนรู้ในส่วนนี้ได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ค่าลงทะเบียนนี้รวม(1)) ค่าอาหาร: อาหารกลางวันและอาหารเย็น รวม 6 มื้อ (มื้อละ 350 บาท รวมเป็นเงิน 2,100 บาท)อาหารว่างเช้าและบ่าย รวม 8 มื้อ (มื้อละ 70 บาท รวมเป็นเงิน 560 บาท)(2) ค่าที่พัก: 3 คืน (คืนละ 1,100 บาท/ห้อง รวมเป็นเงิน 3,300 บาท) สิ่งที่ค่าลงทะเบียนนี้ไม่รวม(1) ค่าเดินทางที่ผู้เรียนต้องรับผิดชอบเอง(2) การจองอบรม: มัดจำเพื่อจองสิทธิ์เข้าร่วมอบรม: 1,000 บาท/ท่าน (จะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดการอบรม) ช่องทางการชำระเงิน (ค่ามัดจำและค่าลงทะเบียน)ธนาคารทหารไทย เลขบัญชี: 050-2-65885-9ชื่อบัญชี: ธัญพัชร ธรรมโชติศิริกุล โปรดชำระค่าใช้จ่ายก่อนวันเข้าอบรม 7 วัน เต็มจำนวน มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ และสงวนสิทธิในการคืนมัดจำ สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากสนามบินดอนเมือง/ขนส่งสาธารณะ อื่น ๆ : ทางมูลนิธิฯ ได้จัดเตรียมรถโดยสารรับส่งจาก สนามบินดอนเมืองไปยังสถานที่จัดอบรม ในวันแรกของการอบรม และจากสถานที่จัดอบรมไปยังสนามบินดอนเมืองในวันสุดท้ายของการอบรม สนใจสมัคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: ธัญพัชร (คุณตู่) 083-221-3139 หทัยชนก (คุณซิน) 093-059-9666, หลักสูตรนี้ ได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้นำกระบวนการเรียนรู้  นพคุณ บุญพระบาง นักออกแบบพื้นที่ทางสังคม ผู้สนใจการเชื่อมโยงคุณค่าจากต้นทุนเดิม

อ่านต่อ »
siy_ss_cover
ข่าวสาร

หลักสูตร : ผู้จัดการความเติบโตเพื่อบ่มเพาะและพัฒนาคนรุ่นใหม่เชิงบวก #พี่เลี้ยงบินได้

“เด็กเยาวชนเติบโต คนทำงานเบ่งบาน หลักสูตรเพื่อเสริมพลังภายใน ติดตั้งเครื่องมือและวิธีการที่ดีในการทำงานให้กับพี่เลี้ยงคนทำงานด้านเด็กเยาวชน” หลักสูตรนี้มุ่งเน้นการสร้าง ‘สภาวะแห่งการเติบโต’ สำหรับพี่เลี้ยงผู้ทำงานกับเด็กและเยาวชน โดยเน้นการพัฒนาทักษะ ‘การบ่มเพาะการเติบโตภายใน’ ทั้งของตนเองและเยาวชน หลักสูตรนี้จะมอบ ‘ดวงตาแห่งการเรียนรู้’ ใหม่แก่ผู้เข้าร่วม ทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติงานในบทบาท ‘พี่เลี้ยงเสริมพลัง’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเติบโตของเด็กและเยาวชน แต่ยังส่งเสริมการเติบโตและความมั่นคงภายในของพี่เลี้ยงเอง พร้อมทั้งมอบ ‘เครื่องมือแห่งการบ่มเพาะ’ ที่จะยกระดับคุณภาพการทำงานร่วมกับเด็กและเยาวชน เนื้อหา /กิจกรรมในหลักสูตร พื้นฐานการเข้าใจมนุษย์ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการที่ซ่อนอยู่ภายใน (Iceberg Model) ความมั่นคงภายใน (Grounding) และ ผัสสะ (Sensing) ที่ส่งเสริมการเป็นพี่เลี้ยง ทักษะการเป็นพี่เลี้ยงผ่านบทสนทนา ด้วยเทคนิค CDT (changemaker dialogue technique) ทักษะการเป็นพี่เลี้ยงด้วยกระบวนการกลุ่ม ด้วยเทคนิค 5ช. (diamond model of participation) กำหนดการเรียนรู้ สถานที่ : บ้านสวนรจนา รีสอร์ท มวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี วันที่ 1 : 13 พ.ค. 68 ทําความรู้จัก/ปักธงเป้าหมาย : สร้างความคุ้นเคยต่อกันและกัน ร่วมสร้างเป้าหมายการ เรียนรู้ส่วนบุคคล และทําความเข้าใจความหมายของการเป็นพี่เลี้ยง Grounding and being : การหยั่งรากภายในและการอยู่กับปัจจุบันขณะ วันที่ 2 : 14 พ.ค. 68 ทักษะพี่เลี้ยงส่งเสริมการเติบโตด้วยเทคนิคการสนทนา ความไว้วางใจในตนและทีม : การเสริมสร้างพลังร่วมและการทํางานเป็นทีม วันที่ 3 : 15 พ.ค. 68 ทักษะพี่เลี้ยงส่งเสริมการเติบโตด้วยเทคนิคอํานวยการกลุ่ม Self love and self care : การดูแลตนเองเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน วันที่ 4 : 16 พ.ค. 68 ถอดบทเรียนการเติบโต : สรุปข้อเรียนรู้ วางแผนและแลกเปลี่ยน การนําองค์ความรู้ไปปรับใช้กับบริบทงานของตน หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร ? เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานคนรุ่นในท้องถิ่น  NGOs ภาคประชาสังคม ที่ทำงานในประเด็นคนรุ่นใหม่ และการพัฒนาเยาวชนเชิงบวก บุคคลทั่วไป ที่ทำหน้าที่ พี่เลี้ยง Mentor ที่กำลังมองหาเทคนิควิธีการในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับน้องเลี้ยง  ค่าใช้จ่าย ราคาปกติ: 5,960 บาท/ท่าน (ชำระหลังจากได้รับการยืนยันการเข้าร่วมจากเจ้าหน้าที่) สำหรับท่านที่ต้องการใบกำกับภาษี/ใบเสร็จ: 7,000 บาท/ท่าน (ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) กรุณาติดต่อคุณธัญพัชรเพื่อแจ้งรายละเอียดการออกเอกสาร ทั้งนี้ ค่าการเรียนรู้ในส่วนนี้ได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ค่าลงทะเบียนนี้รวม(1)) ค่าอาหาร: อาหารกลางวันและอาหารเย็น รวม 6 มื้อ (มื้อละ 350 บาท รวมเป็นเงิน 2,100 บาท)อาหารว่างเช้าและบ่าย รวม 8 มื้อ (มื้อละ 70 บาท รวมเป็นเงิน 560 บาท)(2) ค่าที่พัก: 3 คืน (คืนละ 1,100 บาท/ห้อง รวมเป็นเงิน 3,300 บาท) สิ่งที่ค่าลงทะเบียนนี้ไม่รวม(1) ค่าเดินทางที่ผู้เรียนต้องรับผิดชอบเอง(2) การจองอบรม: มัดจำเพื่อจองสิทธิ์เข้าร่วมอบรม: 1,000 บาท/ท่าน (จะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดการอบรม) ช่องทางการชำระเงิน (ค่ามัดจำและค่าลงทะเบียน) ธนาคารทหารไทย เลขบัญชี: 050-2-65885-9ชื่อบัญชี: ธัญพัชร ธรรมโชติศิริกุล โปรดชำระค่าใช้จ่ายก่อนวันเข้าอบรม 7 วัน เต็มจำนวน มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ และสงวนสิทธิในการคืนมัดจำ สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากสนามบินดอนเมือง/ขนส่งสาธารณะ อื่น ๆ : ทางมูลนิธิฯ ได้จัดเตรียมรถโดยสารรับส่งจาก สนามบินดอนเมืองไปยังสถานที่จัดอบรม ในวันแรกของการอบรม และจากสถานที่จัดอบรมไปยังสนามบินดอนเมืองในวันสุดท้ายของการอบรม สนใจสมัคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: ธัญพัชร (คุณตู่) 083-221-3139 หทัยชนก (คุณซิน) 093-059-9666, หลักสูตรนี้

อ่านต่อ »
article_2024_15cover
บทความ

พื้นที่เติบโต เด็กนอกระบบ คบเด็กสร้างตัว : พี่เลี้ยงสภาเด็ก ผู้ประกอบร่างสร้างตัวให้กับเยาวชน

ด้านหลังของสำนักงานองค์การบริการส่วนตำบลยะหา จังหวัดยะลา มีอาคารชั้นเดียวอยู่อาคารหนึ่ง เป็นที่ตั้งของฝ่ายสวัสดิการสังคมและกองการศึกษา ที่ด้านซ้ายของอาคารนั้นมีการต่อเติมหลังคาออกมาสักราว 3 เมตร มีม้าหินที่มีคนมานั่งมาทำกิจกรรมอยู่อย่างไม่เคยเหงา มีเก้าอี้ล้อเลื่อนเก่าๆ 2 3 ตัว ที่เบาะขาดเป็นรูจากการใช้งาน มีชุดครัวเล็กๆ ให้พอทอดไข่หุงข้าวได้ กับคราบน้ำมันจากการทำอาหารเล็กน้อยที่พื้น ถัดเข้ามาทางด้านขวาของในตัวอาคารนั้น มีพื้นที่โถงเล็กๆ ที่มีโต๊ะประชุมกับเก้าอี้ 4 5 ตัว บนโต๊ะมีลังขนมปี๊บที่ฝาดูบุ๊บและบิดเบี้ยวจากการถูกแงะ ในวันปกติธรรมดาก็มักจะมีเยาวชนทั้งในและนอกระบบ แวะเวียนกันเข้ามาอยู่เสมอ มารอทำกิจกรรม มานั่งคุยเล่น มานั่งเฉยๆ มากินทุเรียน มาแกะสตอ ทั้งหมดสามารถมองเห็นได้ง่ายจากสายตาของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในห้องนั้น คุณอรอุมา สะมะแอ นักพัฒนาชุมชนและพี่เลี้ยงสภาเด็กและเยาวชนตำบลยะหา ที่น้องๆ มักเรียกขานเธอว่า “ก๊ะตูรี” (ก๊ะแปลว่าพี่สาวในภาษามาลายู) เริ่มต้นจากยางมะตอย จากเด็กนอกระบบสู่สภาเด็ก สภาเด็กและเยาวชนที่เป็นภาพแทนของเด็กในตำบลจริงๆ คงมิได้มีเพียงแต่เด็กที่เรียนอยู่ในระบบการศึกษาเท่านั้น เราต่างต้องการสภาเด็กที่มีความหลากหลาย เข้าถึงเพื่อที่จะส่งเสริมพวกเขาให้อย่างเต็มศักยภาพ ทว่าเป็นความท้าทายของคนทำงานสภาเด็กเป็นอย่างมาก ที่มักมีคำติดปากที่ว่า “ก็พี่ไม่มีเด็ก พี่หาเด็กไม่ได้” เรื่องราวการทำงานของ ก๊ะตูรีบอกกับเราสิ่งหนึ่งว่า อันที่จริงเด็กนั้น มีอยู่ทุกที่โดยเฉพาะเด็กนอกระบบ  ก๊ะตูรีเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นในการทำงานสภาเด็กและเยาวชน ว่าเริ่มทำงานในตำแหน่งนักพัฒนาชุมชน ที่องค์การบริหารส่วนตำบลยะหาในปี 2555 และเริ่มทำงานสภาเด็กและเยาวชนในปีต่อมา แบบทำโครงการฝึกอบรมแล้วก็จบกันไป ต่อมาอยากเอาจริงเอาจังเรื่องงานคนรุ่นใหม่มากขึ้น  ประกอบกับในพื้นที่มีเด็กนอกระบบที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มตามธรรมชาติที่สังเกตได้ อยู่ 2 กลุ่มหลักๆ คือแก็งซ์ สกอเปี่ยน เป็นวัยรุ่นชายที่ชื่นชอบการแต่งรถจักรยานยนต์ และแก็งซ์นางฟ้า ที่รวมตัวเยาวชนคนสวยและ LGBTQ ที่มีทั้งเด็กที่ศึกษาในระบบและไม่ได้ศึกษาผสมกัน “สภาเด็กชุดแรก เกือบทั้งหมดเป็นน้องที่เรียนในระบบ หลายคนหายไปเลยไม่ได้มีส่วนร่วม ตอนนั้นเราเริ่มชวนเยาวชนในพื้นที่มาทำจิตอาสาซ่อมถนน อบต. มียางมะตอยไว้สำหรับซ้อมถนนอยู่แล้ว เป็นความคิดของแบมิง(สามีของก๊ะตูรี) เขาบอกเราว่า มีกลุ่มเด็กที่เป็นสภาเด็กแล้ว แต่เด็กมาอบรมเสร็จก็กลับ แบบนี้ ยังไม่มีความสำคัญอะไรเลย เรามียางมะตอย มีเด็กที่ก็ว่างงาน เราก็เลยเชิญชวนพวกเขามาทำจิตอาสาในพื้นที่ก่อน เพราะถนนในหมู่บ้านเป็นหลุ่มบ่อ ก็เลยชวนพวกเขามาปะถนน เราเลยมีเครือข่ายของเด็กนอกระบบเพิ่มขึ้น ตอนตั้งสภาเด็กชุดต่อมาเลยชวนกันใหม่ ทีนี้มีเด็กนอกระบบเขามาอยู่ในคณะบริหารด้วย การรวมตัวเด็กง่ายขึ้น พอมีกิจกรรมอะไรก็สามารถเรียกเด็กได้เลย พอเริ่มได้ครั้งหนึ่ง พวกเขาก็มาถามว่า มีอีกไหม พวกเขาขอสัปดาห์ละ 1 วันก็ได้ ทุกวันศุกร์น้องที่เรียนหนังสือเขาจะหยุด ก็มารวมกับเด็กนอกระบบไปทำกิจกรรมกันทุกวันศุกร์ พอทำกิจกรรมกันแบบนี้บ่อยๆ ก็เลยมีการประชุมกันกับน้องๆ เดือนละครั้ง เราจะคุยกันว่าพวกเขาอยากทำอะไรเพิ่มอีกไหม นอกจากกิจกรรมจิตอาสา เขาก็บอกว่าฝึกอาชีพ อบรมให้ความรู้ต่างๆ เพราะว่าน้องหลายคนเขาว่างงานอยู่ เขาไม่ได้เรียน เราก็เลยนำความต้องการของเขา เขาแผนของของ อบต.” เมื่อสภาเด็กเป็นรูปร่าง ก็ถึงเวลาชวนพวกเขา มาก่อร่างสร้างตัว เมื่อถามถึงนิยามของความหมายของคำว่า “วัยรุ่นสร้างตัว” ก๊ะตูรีตอบเราว่าหมายถึงการที่เด็กคนหนึ่ง พัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิม ซึ่งไม่ได้ความแค่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่หมายถึงตัวเขาเองทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องความรู้ ทักษะ ความมั่นคงในชีวิต เหมือนตั้งใจทำอะไรแล้ว ทำให้สำเร็จตามที่ตั้งใจ ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้  แลดูเหมือนว่าการทำงานในตำแหน่งนักพัฒนาชุมชนและบทบาทการเป็นพี่เลี้ยงสภาเด็กและเยาวชนของ ก๊ะตูรี ก็สะท้อนความตั้งใจที่จะอยากชวนให้วัยรุ่นใน อบต.ยะหา สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยเช่นกัน  “มีเด็กกลุ่มนึงที่ชอบรถมอเตอร์ไซต์ แรกๆ จะเน้นแต่งสวย แต่งท่อก่อน แต่เรื่องเครื่องยนต์กลไกต่างๆ  งานซ่อมจริงจังอาจจะยังไม่คล่อง ก็จะจัดโครงการให้วิทยากรที่เป็นช่างจริงๆ มาสอนมาฝึกตามความต้องการของพวกเขา พอถึงวันจัดโครงการเขาก็จะชวนเพื่อน กันมาเองโดยที่เราไม่ต้องบังคับ ตอนที่ฝึกกันเขาจะถามวิทยากรลงลึกในรายละเอียด  เด็กหลายคนที่ตอนนั้นไปอบรม ตอนนี้ยังเป็นช่างอาชีพเลี้ยงตัวอยู่ บางคนก็เป็นลูกจ้างของร้านในพื้นที่ มีเหมือนกันที่พอจะจัดสรรประมาณ ระดมทุน มาซื้ออุปกรณ์ อย่างปั้มลมให้เขา ตอนนี้เขาก็เอาไปใช้ เป็นจุดเริ่มต้นไปต่อยอด  จนตอนนี้ เปิดร้าน สามารถเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ทำหนังหุ้มเบาะได้แล้ว” SIY ขอให้ก๊ะตูรีเล่าเรื่องราวตัวอย่างของวัยรุ่นสร้างตัวในนิยามของก๊ะตูรี ที่เป็นส่วนหนึ่งของสภาเด็กและเยาวชนตำบลยะหา ก๊ะตูรีได้บอกเล่าเรื่องราวของน้อง 3 คน คือ เปา เฟี้ยน และเชอรี่ แต่เดิมเปาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในพื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าการศึกษาในระบบจะไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเขา เปาเป็นสภาเด็กที่ร่วมกิจกรรมกับก๊ะตูรีมาอย่างยาวนาน และก็ยังไม่ได้มีอาชีพอะไรที่ชัดเจน ครอบครัวของเปามีสวนทุเรียนอยู่ก็พอจะไปช่วยทำอยู่บ้าง และเปาเองก็มีคนรู้จักทำรถทัวร์ ดูเหมือนเปาจะรักการผจญภัย เปาจึงไปเป็นเด็กรถกับเขาอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อันที่จริงเปาทำหลายต่อหลายอย่างเพราะยังว่างงานอยู่  ก๊ะตูรีจึงลองถามไปว่า  “แล้วไม่อยากทำเป็นของตัวเองบ้างหรอ?  ถ้าเปาทำนะ ก๊ะมีเพื่อน ช่วยส่งเสริมได้นะ ไม่ต้องรถบัส เป็นรถตู้ก็ได้” ตอนนี้เปาได้ซื้อรถตู้ 1 คัน เริ่มต้นธุรกิจรถตู้เช่าเหมาในพื้นที่จังหวัดยะลา และแน่นอนว่า ก๊ะตูรี เป็นทั้งลูกค้าประจำของเปา และเป็นคนสำคัญที่ทำให้เปามีลูกค้าคนแรกๆ และเป็นที่รู้จัก จนเริ่มที่จะสร้างตัวได้  “ดีใจนะ ที่เห็นเขาพัฒนาตัวเอง สร้างความมั่นคงให้ตัวเองมากขึ้นได้” ก๊ะตูรีบอกกับเราเมื่อพูดถึงปัจจุบันของเปา  เฟี้ยนเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งสกอเปี้ยน กลุ่มเยาวชนผู้ชื่นชอบมอเตอร์ไซต์ ที่ก๊ะตูรีชวนมาทำงานสภาเด็กด้วยกัน

อ่านต่อ »
article_2024_9cover
บทความ

พี่ต้องทำขนาดนี้เลยหรอ : พี่เลี้ยงคนรุ่นใหม่และงานสภาเด็ก ต้องทำกันขนาดไหนถึงได้ทั้งใจและได้ทั้งงาน

สอนงาน ตามงาน ให้คำปรึกษา เลี้ยงข้าวขนม คุยเล่น คำเหล่านี้คงสะท้อนภาพความเป็นพี่เลี้ยงได้ อย่าง กว้างๆ ความเป็นพี่เลี้ยงนั้นมีอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ในทุกที่ที่ผู้มีความรู้และประสบการณ์รวมถึงมีความสามารถเข้าถึงทรัพยากรมากกว่า ถ่ายทอดสิ่งดีไปยังผู้ที่มีประสบการณ์น้อยกว่าในเรื่องนั้นๆ  แต่สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยากจะเอาจริงเอาจังกับการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ หรือที่เรียกสั้นๆว่า งานสภาเด็ก  คำว่า พี่เลี้ยง คงเป็นคำที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ที่ได้รับมอบหมายหรือมีหน้าที่รับผิดชอบงานสภาเด็กและเยาวชน พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 22 และ 23 กําหนดให้มีการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนระดับตำบลทั่วประเทศ ทำให้เกิดสภาเด็กและเยาวชนระดับตำบลทั่วประเทศ จำนวน 7.774 แห่ง ในขณะเดียวกันกฎหมายดังกล่าวก็เรียกร้องให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้ดูและรับผิดชอบงานสภาเด็กและเยาวชน หรือพี่เลี้ยงสภาเด็กเพื่อเป็นกำลังและจุดประกายงานคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น เราคงคาดหวังว่า ทุกท้องถิ่นจะเต็มไปด้วยพี่เลี้ยงที่รู้บทบาทหน้าที่ของตน ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุด แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น งานสภาเด็กและเยาวชนในองค์กรปกครองท้องถิ่นมีความท้าทายอยู่มาก ถือเป็นเรื่องใหม่และต้องอาศัยความสามารถของผู้ที่เป็นพี่เลี้ยงอยู่ไม่น้อย โดยทั่วไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้มีตำแหน่งนักพัฒนาเด็กและเยาวชน (youth worker) หรือมีกำลังคนที่จะรับผิดชอบงานดังกล่าวโดยตรง เจ้าหน้าที่คนใดจะเป็นผู้รับผิดชอบงานสภาเด็ก ก็ขึ้นอยู่กับนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะเห็นสมควรมอบหมายงานดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีความเหมาะสม ภาพฝัน กับความจริงที่รู้อยู่ แต่เมื่อถึงเวลา ก็น่าลำบากใจ ภาพฝันในการทำงานการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ผ่านกลไกสภาเด็ก ในสายตาของพี่เลี้ยงคนหนึ่ง คงเห็นภาพตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างให้เกิดสังคมแห่งการมีส่วนร่วม ตามสโลแกนที่ได้ยินอย่างหนาหู เมื่ออยู่ในวงการงานสภาเด็กและเยาวชนคือ “เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ” ผู้ใหญ่หนุน” และคาดหวังว่าน้องสภาเด็กจะเป็นฝ่ายที่เดินมาบอกเราว่าอยากทำอะไร  เราในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้เป็นพี่เลี้ยงเองก็คงต้องการกำลังใจจากเพื่อนร่วมงาน อยากให้คนในวงการมองว่าเราคือต้นแบบ และได้รับคำชมจากนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้บังคับบัญชาของตนว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี   แต่ทว่าในช่วงแรกของการตั้งไข่งานสภาเด็กและเยาวชน “เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ” อาจไม่เป็นจริงสักเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือมีเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่นมาก่อน หลายครั้งพี่เลี้ยงอาจพบว่า มีแต่ตัวเราเองทั้งนั้นที่ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างก่อนเสมอ และพบกับความขัดแย้งภายในใจว่าเราเองก็อยากทำงานสภาเด็กให้ได้ผลดี แต่ภารกิจความรับผิดชอบอื่นของเราก็มีมากมายอยู่แล้ว และคาดหวังว่าจะมีคนมาช่วย แต่เมื่อมองไปรอบตัวก็อาจพบว่ามีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ตั้งใจ   อย่างดีก็มีคนในทีม 1-2 คน ที่พร้อมร่วมเดินทางไปกับเรา ผู้บริหารก็รับปากว่าจะสนับสนุน แต่ความจริงที่เป็นรูปธรรมก็คงไม่เห็นชัดเจนนัก การเตรียมใจเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ท้าทายของการเป็นพี่เลี้ยงสภาเด็กและเยาวชนคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายงานดังกล่าว พี่เลี้ยงสภาเด็กท้องถิ่น ความท้าทายที่ถูกมอบหมายถึงคนธรรดาคนหนึ่ง ในบรรดาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเจ็ดพันกว่าคนที่ได้รับมอบหมายจากนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้รับผิดชอบงานสภาเด็กและเยาวชน คุณแอม ญาณิกา เหลี่ยมวัฒนกุล เป็นหนึ่งในนั้น เริ่มต้นจากสิ่งที่เธอให้คำนิยามกับตนเองในวันแรกที่ได้รับภารกิจกที่ยิ่งใหญ่นี้ เธอบอกว่าตัวเอง “เป็นตัวใสๆ ไม่มีความรู้อะไรที่เป็นพื้นฐานเกี่ยวกับงานนี้เลย” จากวันนั้นเป็นเวลากว่า 4 ปี  เทศบาลตำบลเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี ได้รับการประกาศจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้เป็น “ตำบลต้นแบบด้านกิจการสภาเด็กและเยาวชน” คุณแอมเล่าว่า ทุกวันนี้เกินความคาดหมายที่เธอเคยคิดไว้มาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีน้องๆ มาเป็นกำลังให้กับท้องถิ่น เพราะเคยได้ยินหลายคนพูดอยู่เสมอว่างานสภาเด็กนั้น เด็กๆ พร้อมที่จะเติบโตและทิ้งเราไป เคยได้ยินเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนอื่นพูดเสมอว่า “ไม่มีหรอกเด็กคิดเด็กนำ มีแต่เรานี้ละทำ นี้ละหนุน” แต่ปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นว่าคุณแอมเองเป็นคนที่คอยปลอบใจและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ให้ยังคงมีความหวังในการทำงานสภาเด็กต่อไป “ตอนที่แอมเข้ามาทำแรกๆ มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แหละ แต่เชื่อสิ มันจะต้องมี แต่เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจอน้องแบบนั้นเมื่อไหร่ เจอเร็วก็โชคดี แต่ถ้าทิ้งงานไปก่อนหรือเจอน้องที่ดีช้าก็โชคร้าย” “ทุกวันนี้เวลาไปงาน ไปเดินตลาด ถ้าได้เจอเด็กที่ทำกิจกรรมเปิดหมวกรับบริจาคก็จะให้ความร่วมมือตลอด ถือว่าทำบุญให้ได้เจอเด็กคนใหม่ๆ มาเพิ่มทีมให้ทำงานต่อเนื่องมากขึ้น” คุณแอมกล่าวอย่างติดตลกเมื่อพูดถึงความมูเตลูของตนในการทำงาน คุณแอมเล่าถึงการทำงานกับเด็กในช่วงแรกว่าเป็นเรื่องที่จุกจิกมาก ทั้งเรื่องการไปรับไปส่งที่บ้าน การขออนุญาตผู้ปกครอง โดยเฉพาะถ้าทำงานกับเด็กเล็ก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทำงานสภาเด็กท้องถิ่นรู้สึกว่าเป็นความยากลำบาก หลังจากทำงานสภาเด็กมาได้สักพัก จึงเกิดข้อสรุปต่อตนเองว่าเราควรทำงานกับเด็กที่โตในระดับหนึ่ง เขาต้องดูแลตัวเองได้  และตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานในช่วงแรก ว่าการที่เราจะสนิทกับพวกเขาโดยที่เราไม่ได้เป็นครู ไม่ได้พบเจอเขาทุกวัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะมีบทสนทนาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มไลน์ที่เราตั้งไว้คุยกันในทีมงานสภาเด็กก็เช่นกัน เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะต้องคุยกับเรา เขามักมองเราเป็นคนแปลกหน้า พี่ต้องทำขนาดนี้เลยหรอ ? เมื่อถามคุณแอมว่า เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่าพี่ต้องทำขนาดนี้เลยหรอ เพื่อให้ได้มาซึ่งทีมงานสภาเด็กที่เข้มแข็งแบบนี้ คุณแอมตอบว่า ‘เคย’ “มากกว่าแค่การตั้งคำถาม แต่คิดไว้เลยว่า ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้อยากทำงานเสาอาทิตย์ ต้องเสียสละเวลาส่วนตัวขนาดนี้เลยหรอ พูดตรงๆ คนทำงานเด็กท้องถิ่นได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ น้อยมาก และหลายครั้งที่ต้องทำงานนอกเวลางาน” “พี่ต้อง รู้สึก กับพวกเขามากขนาดนี้เลยหรอ น้องมีที่เรียนไหม มีปัญหาส่วนตัวอะไร เมื่อได้เห็นสเตตัสใน social media ของพวกเขา” คุณแอมนิยามความสัมพันธ์ระหว่างพี่เลี้ยงกับน้องสภาเด็กว่า “เป็นเพื่อนสนิทคนนึง” ที่เมื่อเราอยู่ในความสัมพันธ์แบบนั้นแล้ว ความเป็นอยู่และเป็นไปของน้องๆ ก็จะเป็นเรื่องที่คุณแอมหยิบยกมาพูดคุยกันในทีมงานอยู่เป็นปกติ และรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยพวกเขาอยู่เสมอ หรือแม้กระทั้งเรื่องความสัมพันธ์หรือปัญหาในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย ประสบภัยพิบัติ ก็จะคอยดูแล ซื้อข้าวซื้อน้ำเข้าไปให้ “เราคอยสังเกตความเป็นไปของพวกเขา เราเชื่อมต่อกับพวกเขาไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่เราเชื่อมต่อในชีวิตและการเติบโตของเขาด้วย” “พี่จะต้องอ่านหนังสือ มากขนาดนี้เลยหรอ อยากรู้ว่าจะต้องมีเทคนิคอย่างไรในการทำงานกับน้องๆ หรือในเรื่องที่เราให้น้องทำ เราก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นก่อนด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวน้องถามแล้วจะตอบไม่ได้ ตอนเรียนพี่ยังไม่อ่านหนังสือเยอะเท่านี้เลย แต่พอมาทำงานที่นี้แล้วอ่านหนังสือหาความรู้เยอะมาก อยากคุยกับเขารู้เรื่อง อยากรู้ว่าถามอย่างไรให้พวกเขาตอบ อยากรู้จักพวกเขามากกว่านี้ คุณแอมขอแถมอีกหนึ่งประเด็นทิ้งท้ายที่สะท้อนถึงความใส่ใจในเพื่อนผู้ร่วมเดินทางอย่างน้องสภาเด็กว่า  “พี่ต้องใส่ใจเรื่องบุคลิกภาพของน้องๆ ขนาดนี้เลยหรอ เวลาที่น้องเราจะไปเจอคนอื่น น้องเราจะแต่งตัวอย่างไร มีกลิ่นเต่า ก็ให้ซื้อโรออน

อ่านต่อ »
Screen Shot 2564-09-29 at 15.58.47
ข่าวสาร

Local Election บอร์ดเกมส์เพื่อพี่น้องท้องถิ่น !!

มูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคม ได้ร่วมกิจกรรมเทศกาลเกมแห่งประชาธิปไตย ฉบับเล่นที่บ้าน “Democracy Game Festival: At Home Edition” เพื่อบอกเล่าและประชาสัมพันธ์วิธีการเล่นเกมแก่พี่น้องท้องถิ่นทุกท่าน . ในโอกาสนี้คลิป VDO ดังกล่าว ได้รับรางวัลเพลิดเพลินเจริญตา 🏆 หากท่าใดสนใจบอร์ดเกม Local Election สามารถติดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/democracyxinnovation ออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกมโดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน, สมาคมบอร์ดเกม, Punch Up, และ The Active

อ่านต่อ »
battle-of-ideology
บทความ

สงครามความคิดเก่า-ใหม่ แพ้ชนะ วัดกันที่ตรงไหน ?

ถ้านึกถึงคำว่า “สงคราม” ทุกคนก็คงจะนึกถึงภาพการรบราฆ่าฟัน การใช้อาวุธเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกัน มีคนเจ็บคนตายในสนามรบ และจบด้วยชัยชนะหรือการพ่ายแพ้ของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ชนะก็อาจจะได้ดินแดนได้ผลประโยชน์ ฝ่ายที่แพ้ก็อาจจะเสียอิสรภาพและเสียความสามารถในการปกรครองตนเอง เราทุกคนอาจจะกำลังอยู่ในสงคราม เป็นสงครามที่ต่อสู้กันด้วยสมองสองมือที่สื่อความคิดเห็น การต่อสู้นี้ก็แลดูคล้ายกับสงครามเย็น คือสู้กันแบบอ้อมๆ ไม่ตรงไปตรงมา เราไม่ได้จับปืนจับมีดไปยิงแทงคนที่เห็นต่างจากเรา (แม้ว่าในกมลสันดานด้านมืดลึกทีสุดในใจเราอาจจะอยากทำอย่างนั้นก็ตาม) เราอาจจะกำลังต่อสู้ในสงครามนี้ด้วยนิ้วโป้งทั้งสองข้างผ่านอาวุธที่สุดจะทันสมัยที่เรียกว่า Smart Phone เราสามารถพบสมรภูมิรบได้ในโลกออนไลน์เช่น Facebook, Twitter เวลามีการถกเถียงประเด็นทางสังคมต่างๆ และถ้าคุณหิว อาหารก็ดี แต่พอมีใครสักคนมาชวนคุยสักเรื่องหนึ่ง แล้วคุณก็คิดในใจว่า “กินข้าวไม่อร่อยแล้วกู” สมรภูมิรบสงครามความคิดนี้ก็อาจจะมาอยู่บนโต๊ะกินข้าวที่บ้านคุณแล้วก็ได้ เรากำลังอยู่ในสงครามอะไร ? สงครามนี้เป็น “สงครามทางความคิด” ที่อาจจะพอนิยามได้ว่าคู่ขัดแย้งคือ “คนที่มีความคิดแบบเก่า” และ “คนที่มีความคิดแบบใหม่” สงครามนี้กินความหมายไปมากกว่าการเมืองว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล แต่มันหมายถึงวิถีชีวิตความคิดความเชื่อและการให้คุณค่าความสำคัญสิ่งต่างๆ ของคนในสังคม อันที่จริงการต่อสู้ทางความคิดแบบเก่าและใหม่เป็นเรื่องปกติที่ปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เสมอมา ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตเป็นอยู่ของคนในสังคม หรือไม่ก็ก่อให้เกิดสงครามที่มีคนล้มตายเสมอ   แต่ในปัจจุบันภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น ผู้คนไม่สนับสนุนสงครามที่มีการรบราฆ่าฝันเต็มรูปแบบอีกต่อไป และด้วยสื่อออนไลน์ ก็เป็นพื้นที่สมัยใหม่ให้เขาและเธอที่มีความคิดออกมากให้เห็นกัน และการเปลี่ยนไปของโลกในยุคปัจจุบันทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น สามารถเรียนรู้จนนำไปสู่การสังเคราะห์ข้อมูลเกิดเป็นความคิด โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการขัดเกลาจากสถาบันในยุคก่อนอย่างครอบครัวและสถาบันการศึกษาทางเดียวอีกต่อไป สิ่งนี้เร่งเร้าให้ผู้คนในสังคมเกิดความคิดและตั้งคำถามกับค่านิยมจารีตประเพณีวิธีปฏิบัติแบบดั่งเดิม รวมไปถึงความจริงและค่านิยมหลักที่ถูกสถาปนาโดยรัฐ ว่ายังเหมาะสมกับสังคมในยุคปัจจุบันหรือไม่ และสงครามนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ผู้ถูกกระทำหรือผู้ได้รับผลกระทบทางลบมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ใครเป็นใครในสงครามนี้ ? สงครามนี้เป็นสงครามแบบงงๆ ไม่มีฝ่ายหรือพรรคพวกที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นต่อประเด็นนั้น ๆ ของคนในสังคม ไม่สามารถเหมารวมได้ว่าคนที่อยู่ฝั่งหนึ่งจะต้องคิดเห็นเป็นแบบเดียวไปตลอด คนหนึ่งคนอาจจะอยู่ทั้งสองฝ่ายเลยก็ได้ แต่ก็พอจะนิยามให้เห็นคู่ขัดแย้งในสงครามได้ดังนี้  กลุ่มความคิดเก่า เชื่อมั่นในระบบ ให้คุณค่ากับวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามและบาปบุญ ชอบความสงบเรียบร้อยและคนดี มองคนที่เห็นต่างเป็นจุดด่างพร้อยของสังคมที่ทำให้เกิดความไม่สงบ ละเลยปัญหาเชิงโครงสร้าง มองว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคมนั้นดีอยู่แล้ว ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร กลุ่มความคิดใหม่ เป็นกลุ่มคนที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุด เพราะพวกเขาตั้งคำถามกับทุกอย่าง  ท้าทายอำนาจทุกรูปแบบที่เค้าคิดว่ามันล้าสมัย พร้อมที่จะตีกับคนอื่นพอๆ กับที่จะตีกับพวกเดียวกันเองถ้าเห็นต่าง ความดีความงามของคนกลุ่มนี้คืออะไรก็ได้ และทุกปัญหาล้วนเชื่อมโยงกับปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสิ้น คนทั้งสองกลุ่มนี้มิได้ถูกแบ่งแยกด้วยช่วงอายุ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่อง Genaration ก็มีผลอยู่พอสมควร เพราะการที่แต่ละคนจะคิดอ่านและมีความเห็นเช่นไรก็เป็นเพราะสภาพสังคมที่โอบล้อม เช่น การรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ  คนในวัยหนึ่งก็จะรับสารจากทางหนึ่งและเต็มไปด้วยเนื้อหาที่อยู่ในแวดวงสังคมของเขา ชวนคิดง่ายๆ ตื่นเช้ามาเราคุยกับใครเป็นคนแรก คนที่เราคบค้าสมาคมมีความสัมพันธ์ด้วยนั้นเป็นคนแบบไหน เป็นคนที่มีความคิดเก่าหรือความคิดใหม่ พอเปิด Facebook เราเจอข่าวแบบไหน เราชอบอ่านหรือกดไลค์เพจอะไร ถ้าเราลองแอบไปเปิด Facebook ของพ่อแม่หรือลูกเราดู เราอาจจะหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยก็ได้  ความโหดร้ายของสงครามนี้ ในโลกออนไลน์ เมื่อมีการพูดถึงประเด็นทางสังคมที่ “เรียกแขก” คือเป็นประเด็นที่ถูกท้าทายและสังคมยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ว่าเราจะโอเคกับอะไร เราก็จะเห็นการออกแม่ไม้ภาษาไทยที่แต่ละฝ่ายจะยกทั้งอาวุธหนักอาวุธเบาเข้ามาห้ำหั่นกัน ยกตัวอย่าง เช่น อีป้า อีเด็กเปรต สลิ่ม ควายส้ม ควายแดง (พอเท่านี้ก่อน) ถ้อยคำเหล่านี้คือ Hate Speech ซึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงความเกลียดชัง ความรุนแรง ความอาฆาตมาดร้าย ตอกย้ำความรุนแรงของสงครามนี้อย่างชัดเจน  ผลกระทบที่สำคัญของสงครามนี้คือการถ่างช่องว่างระหว่างวัยของคนในสังคมให้กว้างขึ้นไปอีก และแบ่งเขาแบ่งเราในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เช่น คนรักชาติ VS อีพวกชั่งชาติ, ลิเบอรัล VS สลิ่ม เป็นต้น การแสดงความคิดเห็นเหล่านี้เป็นการผลิตซ้ำ การผลิตซ้ำทำให้เกิดความเชื่อ และความเชื่อก่อให้เกิดอคติ จนในที่สุดอคติส่งผลต่อการตัดสินใจที่จะแสดงออกซึ่งกันและกัน เราอาจจะคุยกับคนในครอบครัวของเราน้อยลงโดยไม่รู้ตัว เพราะในใจเราคิดเป็นเองแล้วว่า “พูดไปเขาก็เถียง” “พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจหรอก” “เขาโดนล้างสมองไปแล้ว” หรือถ้าเราเจอญาติ พ่อแม่ คนรู้จักของเรา แล้วก็ได้แต่คิดรำพึงรำพันในใจว่า “กูเจอสลิ่ม, ความแดง, ควายส้ม เข้าแล้ว” ถ้าหากเรากำลังคิดอย่างนี้อยู่แล้วละก็ เรากำลังได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้แล้วละครับ อีกผลกระทบของสงครามที่ชวนหงุดหงิดใจก็คือถ้าหากมีใครสักคนแสดงความคิดในเชิงเป็นกลาง หรือให้เหตุผลแต่ไม่ถูกใจ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็พร้อมที่จะถูกผลักไสไล่ส่งให้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เหลือเยื่อใย แทนที่จะหาแนวร่วมความคิดของตัวเองเพิ่ม บทเรียนในประวัติศาสตร์เดือนตุลา 2519 ทำให้เราเห็นว่าการผลิตซ้ำความเกลียดชังผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ในยุคนั้นอยู่ภายใต้อำนาจรัฐเป็นส่วนใหญ่ ได้ทำให้สงครามทางความคิดที่เป็นสงครามเย็นกลายเป็นสงครามร้อนที่มีการจับอาวุธขึ้นมาทำร้ายคนที่มีความคิดต่างให้ถึงแก่ความตายได้จริง ๆ เป็นเรื่องดีที่ยุคปัจจุบันพื้นที่ของการสื่อสารได้พัฒนาและมีความหลากหลายมาก ไม่มีใครสามารถสร้างความจริงเพียงชุดเดียวได้อีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสงครามทางความคิดจะไม่สามารถพัฒนาจนกลายเป็นสงครามร้อนได้  แพ้ชนะ วัดกันที่ตรงไหน? สงครามทางความคิดนี้ตัดสินกันที่ประเด็นทางสังคมหรือข้อเรียกร้องของคู่ขัดแย้ง กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคม พูดให้ทันยุคทันสมัยคือสู้กันจนกลายเป็น New Normal สู้กันจนถ้าเกิดปรากฏการณ์แบบนี้แล้วคนในสังคมส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกว่าผิดปกติอะไร เราพบเห็นการต่อสู้ในหลากหลายประเด็น เช่น เกมส์มีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน เด็กมันคิดได้เองหรือมีคนอยู่เบื้องหลัง ข้าราชการยังคงเป็นอาชีพที่ดีหรือเปล่า นักเรียนยังควรต้องสวมชุดนักเรียนอยู่หรือไม่ ประวัติศาสตร์ไทยที่เรียนกันอยู่เป็นเรื่องจริงแน่หรือ บางสมรภูมิก็อาจจะบอกได้ว่าฝ่ายความคิดใหม่ชนะไปแล้ว (แต่ถ้าเกิดขึ้นใกล้ตัวมาก ๆ เช่นกับลูกหลานตัวเองก็อาจจะไม่) เช่น ประเด็นการยอมรับกลุ่มคนมีความหลากหลายทางเพศ, การยอมรับคนที่มีรอยสัก แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะแพ้ชนะก็แล้วแต่นิยามและความเห็นของแต่ละคน เพราะการเปลี่ยนแปลงจนเกิดเป็นการยอมรับใหม่ของสังคมนั้นมักจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป คนกลุ่มหนึ่งอาจจะยอมรับแล้ว แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็อาจจะยังไม่ยอมรับก็ได้ และสิ่งที่เป็นเรื่องใหม่ในตอนนี้ก็อาจจะถูกตั้งคำถามและถูก รื้อสร้าง จากคนรุ่นใหม่กว่าในอนาคต (ไม่มี)

อ่านต่อ »