ถอดรหัส ‘Edutainment’ ยุคใหม่: เมื่อ Storytelling คืออาวุธลับที่ทำให้ ‘ความรู้’ แมสกว่าในตำรา

  • ในยุคที่ความรู้กระจายสู่ผู้คนผ่านการเล่าเรื่อง ย่อยสาระแสนซับซ้อนให้น่าฟัง เชื่อว่าหลายคนมียูทูบหรือพอดแคสต์ช่องโปรดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน ภาษา สุขภาพใจ ประวัติศาสตร์ จนถึงช่องสอนสร้างธุรกิจ 101
  • เนื้อหาที่นักเล่าเรื่องเหล่านี้เล่าให้เราฟัง แท้จริงแล้วก็เป็นความรู้เดียวกับที่อยู่ในห้องเรียนทั้งนั้น ทว่าเรากลับเลือกฟังอย่างหูทวนลม ขณะที่ครูผู้มีหน้าที่สอนก็บรรยายเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา
  • เพราะคนอาจไม่ได้อยากฟังคนเก่งที่สุด แต่อยากฟังคนที่เข้าใจเขาที่สุด และหากสามารถเลือกฟังสิ่งที่สนใจได้ด้วยตัวเอง ความตั้งใจฟังจึงเพิ่มโดยอัตโนมัติ เปิดฟังได้ทุกที่ทุกเวลา ต้นทุนการเข้าถึงน้อย เสริมให้เกิดการเรียนรู้ไปพร้อมกับชีวิต (Ambient Learning) และเนียนไปในกิจวัตรประจำวัน

อยากได้ความรู้เรื่องการเงิน ลองฟัง The Money Coach ดูสิ
อยากศึกษาประวัติบุคคลสำคัญ ลองเสิร์ช People You May Know ดูสิ
หรืออยากฝึกภาษา ลองเปิดพอดแคสต์ คำนี้ดี (KND) ดูสิ

ในยุคที่ความรู้กระจายสู่ผู้คนผ่านการเล่าเรื่อง ย่อยสาระแสนซับซ้อนให้น่าฟัง เชื่อว่าหลายคนมียูทูบหรือพอดแคสต์ช่องโปรดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน ภาษา สุขภาพใจ ประวัติศาสตร์ จนถึงช่องสอนสร้างธุรกิจ 101

แต่เคยลองคิดกันไหมว่า เนื้อหาที่นักเล่าเรื่องเหล่านี้เล่าให้เราฟัง แท้จริงแล้วก็เป็นความรู้เดียวกับที่อยู่ในห้องเรียนทั้งนั้น ทว่าเรากลับเลือกฟังอย่างหูทวนลม ขณะที่ครูผู้มีหน้าที่สอนก็บรรยายเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา

Happy asia girl record a podcast with headphones and microphone

ที่มาภาพ : Freepik

โฮสต์รายการพอดแคสต์มีดีอะไรกว่าคุณครู

อะไรคือจุดที่ทำให้เราเลือกโฟกัสกับข้อมูลจากครีเอเตอร์ในโลกอินเตอร์เน็ต มากกว่าการตั้งใจศึกษาเนื้อหาวิชาการจากครู ทั้งที่การฟังพอดแคสต์ไม่ได้มีการสอบวัดความรู้เหมือนกับตอนเรียนด้วยซ้ำ

มองความเป็นจริงที่ใกล้ตัวที่สุด เราทุกคนล้วนไม่ชอบการถูกบังคับ เมื่อต้องถูกจัดการหรือวางแผนให้ดำเนินไปตามระบบที่คนอื่นวางไว้ สมองจะผลักความสนใจนั้นออก 

ลองนึกภาพห้องเรียนสี่เหลี่ยมในคาบแรกของวิชาดาราศาสตร์ ครูเปิดหนังสือแล้วบรรยายชื่อดวงดาวตามตำราเดิม ๆ ที่เด็กคุ้นเคยจนเดาทางได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป จึงไม่แปลกที่ความตื่นตัวค่อย ๆ หายไป หากครูไม่มีเทคนิคที่จะดึงให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากขึ้น

ต่างจากรายการ GoodDayPodcast ที่เชิญแขกรับเชิญมาร่วมสนทนาในหัวข้อเดียวกัน แต่ความรู้สึกขณะเล่าเหมือนเพื่อนเล่าสู่กันฟัง สลับกับการขึ้นภาพให้เห็นจริง สิ่งนี้กลับทำให้ผู้ฟังหลายคนจินตนาการภาพอวกาศออกเป็นฉากๆ ได้ ตัวอย่างเช่นคอมเมนต์ของคุณ cbshimmer ที่กล่าวชื่นชมว่า 

“เป็นครั้งแรกตั้งแต่เรียนดาราศาสตร์มา ที่ทำให้เรามองเห็นภาพรวมของจักรวาลได้ รู้ว่าตัวเราอยู่ตรงไหน เล็กแค่ไหน รอบตัวเป็นอย่างไร มุมมองเป็นอย่างไร สารภาพว่าตั้งแต่เรียนวิชานี้ตั้งแต่ประถมก็ไม่เคยเข้าใจความเชื่อมโยงมาก่อนเลย”

การเล่าเรื่องออนไลน์เต็มไปด้วยอารมณ์และประสบการณ์ คุยด้วยน้ำเสียงปลอดภัยและไม่ตัดสิน เปรียบเทียบกับการสอนแบบทฤษฎีในห้องเรียนที่หลายครั้งอาจจับต้องยาก นักเรียนจึงต้องการเรื่องราว มากกว่าข้อมูลดิบที่ไม่ถูกดัดแปลงจริตเลย

ac_2025_12pic3

ที่มาภาพ : Freepik

เมื่อความเป็นกันเองและความจริงใจ คือเสน่ห์ที่ห้องเรียนอาจไม่ได้มีพร้อมในทุกคลาส นักเรียนรู้สึกได้รับความเข้าใจ ไม่ใช่ถูกสั่งหรือถูกประเมิน ตัดกับห้องเรียนที่มีโครงสร้างอำนาจ ทำให้ผู้เรียนตั้งกำแพงโดยไม่รู้ตัว 

ท้ายที่สุด คนไม่ได้อยากฟังคนเก่งที่สุด แต่อยากฟังคนที่เข้าใจเขาที่สุด และหากสามารถเลือกฟังสิ่งที่สนใจได้ด้วยตัวเอง ยิ่งเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของเนื้อหา ความตั้งใจฟังจึงเพิ่มโดยอัตโนมัติ ทั้งยังเปิดฟังได้ทุกที่ทุกเวลา ต้นทุนการเข้าถึงน้อย เสริมให้เกิดการเรียนรู้ไปพร้อมกับชีวิต (Ambient Learning) และเนียนไปในกิจวัตรประจำวัน

คุณครูจะทำอย่างไร? ให้ห้องเรียนมีพลังเหมือนคอนเทนต์ออนไลน์

หากอ่านดูเผินๆ อาจเหมือนกำลังบอกว่าอาชีพครูกำลังถูกดิสรัปโดยนักเล่าเรื่องบนจอ LCD แต่ไม่ใช่เลย อินเทอร์เน็ตไม่ได้มาแทนที่ครู หากแต่สะท้อนว่าการเรียนรู้ยุคใหม่ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 

ลองเปลี่ยนการท่องจำและบรรยายแบบเดิมๆ มาใช้การเล่าเรื่อง เด็กจะรู้สึกว่าเนื้อหามีชีวิต ไม่ใช่แค่บทเรียนในหนังสือ เพราะผู้เรียนยุคนี้เชื่อมโยงกับเรื่องราวของมนุษย์ มากกว่าข้อเท็จจริงลอยๆ 

คุณครูสามารถใช้ตัวอย่างจริงจากชีวิต เล่าประสบการณ์ หรือเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับเหตุการณ์ในสังคม เช่น ข่าว เหตุการณ์ร่วมสมัย เรื่องราวในวัยเรียน หรือ Pop Culture ที่ใกล้ตัวเด็ก สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้เรียนเห็นว่าความรู้มีคุณค่าและนำไปใช้ได้จริง

Many hands of volunteers during Maths class

ที่มาภาพ : Freepik

ห้องเรียนที่เข้าใจผู้เรียนจริงๆ อาจจะต้องลองเปิดพื้นที่ให้เด็กเลือกหรือมีส่วนร่วมมากขึ้น เสน่ห์ของคอนเทนต์ออนไลน์คือผู้ฟังเลือกเองได้ คุณครูสามารถนำมาใช้ในห้องเรียนแบบง่ายๆ เช่น การให้เลือกหัวข้อโปรเจกต์เอง เลือกโจทย์ที่สนใจ เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามหรือแชร์มุมมอง

ท้ายที่สุด คงต้องลองลดความเป็นทางการ แล้วเพิ่มความรู้สึกลงไปเป็นสัดส่วนสำคัญ การที่โฮสต์พอดแคสต์โดดเด่นได้ เพราะมีความเป็นกันเองและไม่ตัดสิน ครูสามารถสร้างบรรยากาศคล้ายกันได้ เช่น เปิดคาบเรียนด้วยการถามความรู้สึกของเด็กๆ ใช้น้ำเสียงและภาษาที่เป็นมิตร รับฟังความคิดเห็นโดยไม่รีบตัดจบประเด็น 

เมื่อห้องเรียนผสมความเป็นมนุษย์ ความยืดหยุ่น ความสัมพันธ์กับชีวิตจริง การเล่าเรื่องที่เข้าใจคนฟังจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ที่เด็กอยากเข้าหาเอง เหมือนกับเราทุกคนมียูทูบช่องโปรด โฮสต์รายการที่ชอบ และเลือกกดเข้าไปฟังคอนเทนต์ที่เอง โดยไม่มีใครบังคับใคร

เครดิตภาพปก:

รายการ The Money Coach

รายการ 8 Minute History

รายการ History Of Beauty

รายการ KND Podcast

รายการ ความ(ไม่)รู้รอบตัว

รายการ Weirdทยาศาสตร์

บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

Categories

เรื่องที่คล้ายกัน

guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments