ประวัติศาสตร์ ความพยายาม และการรณรงค์กระจายอำนาจ เพื่อเลือกตั้งผู้ว่าฯ ผ่าน ‘พ.ร.บ. เชียงใหม่มหานคร’
- การกระจายอำนาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เพราะอุปสรรคทางกฎหมายและการเมือง การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นจึงยังไม่เกิดขึ้น
- จากข้อสังเกตที่ว่า หากกรุงเทพฯ สามารถมีคำว่า ‘มหานคร’ ต่อท้ายได้ แล้วจังหวัดอื่นจะสามารถมีคำนี้ต่อท้ายได้หรือไม่ นี่คือที่มาของ ‘ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร’ กฎหมายที่อาจปลดล็อกท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง พร้อมข้อเสนอยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค ใช้องค์กรส่วนท้องถิ่น เลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิก รวมถึงมีสภาพลเมืองคอยถ่วงดุลอำนาจ
- ร่วมสนทนากับชำนาญ จันทร์เรือง อดีตรักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครองเชียงใหม่ และอาจารย์พิเศษด้านการเมืองและกฎหมาย ผู้ผันตัวรณรงค์เรื่องการกระจายอำนาจ ถึงวิวัฒนาการของอำนาจท้องถิ่นและความพยายามเลือกตั้งผู้ว่า ขณะเดียวกัน ร่วมหาคำตอบว่า การเมืองที่ขาดเสถียรภาพนำไปสู่อุปสรรคของการกระจายอำนาจได้อย่างไร
สมการการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง รวมไปถึงปลดล็อกอำนาจให้ท้องถิ่น เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เชื่อว่าจะทำให้ท้องถิ่นจัดการกับทรัพยากรณ์ในพื้นที่ โดยไม่ต้องให้ส่วนกลางเข้ามาจัดสรรแทน สามารถจัดเก็บภาษีเพื่อพัฒนาท้องถิ่นมากขึ้น ส่งภาษีให้ส่วนกลางน้อยลง เพื่อนำมาพัฒนาสังคมในมิติต่างๆ ได้ง่ายกว่าระบบที่รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง สิ่งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหรือเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ความพยายามผลักดันและแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่ ‘กรุงเทพ’ ได้กลายเป็น ‘กรุงเทพมหานครฯ’ แต่เพราะอะไรจึงยังไม่เกิดพ.ร.บ.กระจายอำนาจฯ
ครั้งหนึ่ง กรุงเทพมหานครเคยมีผู้ว่าจากการแต่งตั้ง
“จริงๆ แล้ว เรื่องเชียงใหม่มหานคร หรือเรื่องการกระจายอำนาจ หรือกระแสการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด มันมีมานานแล้ว มีมาตั้งแต่สมัยตอนที่เริ่มมีกรุงเทพมหานคร ขึ้นมาครั้งแรกๆ”
อาจารย์ชำนาญเล่าถึงประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดว่า เมื่อเกิดการรวมกรุงเทพฯ กับธนบุรีรวมเข้ามาด้วยกัน กลายมาเป็น ‘นครหลวงกรุงเทพธนบุรี’ แล้วก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก ทำให้ปีถัดมา พ.ศ. 2515 เกิดการรวมให้เป็น ‘กรุงเทพมหานคร’ และยกเลิกราชการภูมิภาค กลายเป็นราชการส่วนท้องถิ่น
“เทศบาลนครกรุงเทพฯ กับเทศบาลนครธนบุรีก็ร่วมกันเข้ามารวมหมด กลายเป็นกรุงเทพมหานคร” อาจารย์ชำนาญกล่าว
“แต่ว่าในช่วงแรก ยังไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่แต่งตั้งขึ้นมาเลย แต่งตั้งครั้งแรกคือ คุณชำนาญ ยุวบูลย์ หลังจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็มีการปรับปรุงแก้ไขตราพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานคร 2518 ระหว่างทำก็อยู่ช่วงช่วงกลางระหว่าง 14 ตุลาคม กับ 6 ตุลาคม ช่วงรอยต่อนี้ กรุงเทพมหานครมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพขึ้นมา การเลือกตั้งผู้ว่าคนแรกของกรุงเทพมหานครก็คือ คุณธรรมนูญ เทียนเงิน จากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ว่าอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 19”
“พอต้นปีของ 2520 ประมาณเดือนเมษายน เกิดการใช้อำนาจคณะปฏิรูปการปกครอง หรือคณะรัฐประหารนั่นแหละ เคลียร์ออกไป แล้วก็ตั้งฝ่ายประจำมาแทน มันก็สลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนี้ ระหว่างเลือกตั้งกับแต่งตั้งมาเฉพาะ กทม.”

อาจารย์ชำนาญเล่าว่า พ.ศ. 2518 ได้มีตราพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานคร และเป็นจุดสำคัญที่ทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ และกฎหมายท้องถิ่นถูกพูดถึงที่เชียงใหม่
“พอเกิดตรานี้ขึ้นมา ทางเชียงใหม่เราก็มี ส.ส. อยู่คนนึง คือคุณไกรสร ตันตีพงษ์ เป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เขาก็บอกว่าเอ๊ะ เชียงใหม่ก็ควรมีกฎหมายเป็นของตัวเองแบบกรุงเทพฯ บ้างสิ น่าจะมีกฎหมายเป็นของตัวเอง” จึงเริ่มเกิดการพูดคุยเรื่องนี้มากขึ้นว่า ‘กรุงเทพฯ มีได้ทำไมเชียงใหม่จะมีไม่ได้’ ”
หลังจากพูดถึงเรื่องนี้ถูกพูดขึ้นในเชียงใหม่มากขึ้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่พลิกสถานการณ์การเมืองไทยอีกครั้ง
“มันมีประเด็นสำคัญตามลำดับ ก็คือช่วง ‘พฤษภาคมทมิฬ’ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่มีม็อบมือถือ แล้วก็มีการปะทะกัน จนในที่สุดก็ขับไล่รัฐบาลสุจินดา คราประยูร ออกไป แล้วก็มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมา โดยมีคุณชวนเป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคพลังธรรม มีคุณจำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค
“ตอนนั้นมีนโยบายของพรรคพลังธรรมว่า ‘จะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ’ พอช่วงระหว่างแต่งตั้งรัฐบาลก็มีการร่างนโยบายกัน พรรคพลังธรรมก็พยายามยืนยันให้มีนโยบาย ‘เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ’ คุยกันอยู่ 3 วัน 2 คืน จะเอาให้ได้ ทางฝ่ายค้านก็ไม่ยอม พูดง่ายๆ มันเป็นไปไม่ได้ หรือด้วยกำลังภายในอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็เจรจากัน จนในที่สุดก็ได้ข้อความที่ประนีประนอมกัน ก็ตรงที่ว่า ‘จะจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ในจังหวัดที่มี ‘ความพร้อม’ เติมคำลงไปแค่นี้แหละ แต่ก็ทำให้ไม่ได้มีความพร้อมมาซักที จนถึงปัจจุบัน
“แล้วเหตุการณ์ดำเนินมาเรื่อยๆ จนมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” อำจารย์ชำนาญอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า
- ปรับปรุงเรื่องการปกครองท้องถิ่น
- มีการปรับสภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- ยกเลิกสุขาภิบาลไป เพราะว่ารัฐธรรมนูญจำกัดว่าฝ่ายบริหารกับฝ่ายสภาต้องแยกออกจากกัน
- ฝ่ายสภาก็ต้องมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายบริหารก็ต้องจากมาเลือกตั้งเหมือนกัน จะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้ แล้วแต่ฝ่ายบริหาร
- พ.ศ. 2546 คณะกรรมการการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่น มีประกาศออกมาซึ่งมีสถานะเป็นกฎหมาย ก็คือ ให้ฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
“จึงเป็นที่มาถึงตอนนี้ นายกเทศบาลต้องเลือกตั้งโดยตรง นายก อบต. เลือกตั้งโดยตรง นายก อบจ. เลือกตั้งโดยตรง นายกเมืองพัทยาเลือกตั้งโดยตรง ผู้ว่า กทม. หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นการเลือกตั้งโดยตรงแยกออกมา แต่ก็น่าเสียดายตรงที่เกิดการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง และมีรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550”
เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2550 ในส่วนของกฎหมายการปกครองท้องถิ่น ก็ได้ถูกแก้ไขจากรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2540
- รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ได้กำหนดว่าจะต้องกระจายรายได้ให้ท้องถิ่น ร้อยละ 35
- รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ไม่ได้เขียนกำหนดไว้ตามเดิม แต่เขียนแค่ ‘มีเป้าหมาย’ แต่ไม่ได้กำหนดบังคับไว้
อาจารย์ชำนาญชี้ถึงผลลัพธ์ของการรัฐประหารปี 2552 ว่าส่งผลต่ออำนาจด้านงบประมาณท้องถิ่น และส่งผลถึงราชการท้องถิ่นในปัจจุบัน
“ในส่วนของการปกครองท้องถิ่น เขาก็มีมาตรา 71 กล่าวว่า ‘ถ้าจังหวัดใดมีความพร้อมเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ ก็ให้เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่’
“แต่ยังไม่ทันจะเกิด ก็เกิดเหตุการณ์ให้สะดุดแทน คือการปะทะกันระหว่างกีฬาสี คือสีเหลืองกับสีแดง นำไปสู่การตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร โดยมีคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2552 ส่วนรัฐบาลคุณสมชายถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นไป
“ในช่วงที่คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี การปะทะกันหนักระหว่างสีเหลืองกับสีแดงเยอะ ปีนั้น คุณอภิสิทธิ์จะมีการประชุมหอการค้าทั่วประเทศปีละจังหวัด ก็หมุนเวียนกันไป ประธานที่ประชุมก็เป็นแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ปีนั้นมันจะเป็นรอบการประชุมที่เชียงใหม่ คุณอภิสิทธิ์ก็ส่งสัญญาณมาว่า ‘ฉันจะไปเอง’
“ปรากฏว่าทางฝ่ายเสื้อแดงในเชียงใหม่บอกว่า ‘ถ้ามาก็จะได้เห็นดีกันนะ’ ก็มีการชุมนุมคัดค้านกัน คุณอภิสิทธิ์ก็บอกว่า ‘อ้าว ก็ฉันเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ฉันจะไปที่ไหนก็ได้สิ’
“เกิดการระดมสรรพกำลังกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ ประมาณเกือบ 20,000 คน ข่าวก็ออกกันทุกวัน มีการปะทะกัน ปักหลักทั้งเหลืองทั้งแดง มีคนตายด้วย ก็ 2-3 คน
“นักท่องเที่ยวก็หยุด ยกเลิกโปรแกรม นักลงทุนก็ชะลอการลงทุน คนเดือดร้อน มันกลายเป็นคนเสื้อเหลือ เสื้อแดงเองนั่นแหละที่เดือดร้อน และผู้ประกอบการทั้งหลายก็เดือดร้อน ก็มีการคุยกัน”
รวมตัวเพื่อหาทางออก แต่กลับพบทางตัน
ด้านอาจารย์ชำนาญเองก็มีการพบปะกับผู้ที่สนใจและเห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจในเชียงใหม่ รวมถึงการที่จังหวัดจัดการสถานการณ์ไม่ได้ จึงเริ่มกลับมาพูดคุยเรื่องการกระจายอำนาจอีกครั้ง
“คราวนี้คุณอภิสิทธิ์ ก็คงประเมินแล้วล่ะว่ามันไม่ได้ไม่คุ้มเสีย หรือประเมินแล้ว ก็เลยเปลี่ยนใจไม่มาละ เราก็คุยกันว่าทำไมประชาชนต้องปะทะกันเอง เราก็คุยกันว่า ตั้งคำถามว่าปีก่อนหน้าที่จะมีกีฬาสี ที่ศาลากลางจังหวัด มันมีการปิดกั้นเส้นทางอยู่ 66 ครั้ง ใน 1 ปี ซึ่ง 1 ปีมีอยู่ 52 สัปดาห์ พูดง่ายๆ คือสัปดาห์นึ่งมีมากกว่า 1 ครั้ง
“ผู้ว่า นายอำเภอ เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ก็มีหน้าที่แก้ปัญหากีฬาสี แต่ถ้าไม่ส่งต่อก็ส่งกลับ ส่งต่อก็จะโดนลงโทษลงทัณฑ์ โดนย้าย โดนเพ่งเล็ง ส่งกลับก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย
“ทำใหเราเห็นเลยว่า เราแก้ปัญหาในพื้นที่ไม่ได้เลย อะไรต่างๆ ต้องส่งเรื่องไปตัดสินใจที่กรุงเทพฯ หมด ที่นี่ไม่มีอำนาจในการจัดการทรัพยากรตัวเอง ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจแก้ปัญหาอะไรต่างๆ”
‘ร่าง พ.ร.บ .เชียงใหม่มหานคร’ และ ‘สภาพลเมือง’
“ปี พ.ศ. 2552 นอกจากจะมีกีฬาสี ประกอบกับช่วงก่อนหน้าการปะทะ ก็มี NGO กลุ่มเล็กๆ ที่ตั้งขึ้น พ.ศ. 2551 ลงไปตามหมู่บ้าน 20 คน ทำประชุมหมู่บ้าน ทำกิจกรรม 10-30 คน หรือที่เรียกว่า ‘ชุมชนพึ่งพาตนเอง’ เราก็เลยบอกว่า นี่แหละมันก็มีรูปธรรม แทนที่เราจะคุยกันแล้วก็หายไป บ่นแล้วก็หายไป เรามาทำอะไรที่มันเป็นรูปธรรมดีไหม
“ตอนนั้นผมทำงานอยู่ศาลปกครองเชียงใหม่ปีสุดท้าย ผมก็ลาออก แล้วมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่ มช.
“ช่วงจังหวะพอดี แล้วก็มีเวลาเยอะ ก็มาร่าง ‘ร่าง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร พ.ศ. … (หากพ.ร.บ. ยังไม่ได้ประกาศเป็นกฎหมาย จะยังไม่ใส่ปี จะใส่ปีพ.ศ. เมื่อประกาศกฎหมายในปีนั้นๆ ) แต่ว่าเรียกกันง่ายๆ คือ ‘ร่าง พ.ร.บ. เชียงใหม่มหานคร’ เราก็มองว่ากรุงเทพฯ เป็นมหานครได้แค่ 200 กว่าปีเอง ตอนนั้นอายุ 225 ปี เชียงใหม่มีมาตั้ง 700 กว่าปี ทำไมจะเป็นมหานครไม่ได้
“เรามีหลักการง่ายๆ นะ ง่ายๆ จริงๆ แต่มันก็เยอะอยู่ คือเราจะยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค ให้เป็นท้องถิ่นเต็มพื้นที่จังหวัด
“ ‘ราชการส่วนภูมิภาค’ หมายถึงการมี ผู้ว่า นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการที่ส่งมาจากส่วนกลางมาประจำที่จังหวัด
“เราก็ให้เป็นท้องถิ่นเต็มพื้นที่เหมือนกรุงเทพมหานคร นึกภาพเหมือนกรุงเทพมหานคร แล้วให้มีผู้ว่าราชการเชียงใหม่มหานคร ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีวาระ 4 ปี แต่จะต่างจากกรุงเทพมหานครก็คือ เราก็ทำทุกอย่าง”

ทำอย่างไรถึงจะได้กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
“ผมก็ได้โมเดลมาจากญี่ปุ่น จากการเคยไปอยู่ญี่ปุ่นมา เชียงใหม่มหานคร จะเป็น ท้องถิ่น 2 ชั้นข้างบนก็เรียกว่าเชียงใหม่มหานคร ถ้าเทียบกับญี่ปุ่นก็เรียกว่า Prefecture (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่มีอำนาจจัดการตนเองโดยสมบูรณ์ในระดับจังหวัด ยกเลิกราชการภูมิภาคที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด)
“ข้างล่างก็เป็นเทศบาลด้วยกันเสียทั้งหมด เทศบาล หรือ อบต. ด้วย แล้วแต่สภาพมันจะเป็น แบ่งหน้าที่กันทำ ง่ายๆ ตามนี้
- หลักที่ 1 ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค เป็นท้องถิ่นเต็มพื้นที่ทั้งหมด เหมือนกรุงเทพมหานคร ต่างจากกรุงเทพมหานครก็คือเป็นท้องถิ่น 2 ชั้น รูปแบบเหมือนญี่ปุ่น
- หลักที่ 2 คือ แม้เราจะเลือกผู้บริหารโดยตรงเข้าไป เลือกสมาชิกสภาโดยตรงเข้าไป ไปถึงข้างใน เดี๋ยวสักพักก็เป็นพวกเดียวกันหมด การตรวจสอบก็จะยาก และอีกอย่างก็คือว่า คนที่มันพูดง่ายๆ ก็คือคนดี มีฝีมือ คนเก่ง ก็คงไม่มีโอกาสได้เข้ามา แล้วก็มันไม่ได้เป็นตัวแทนของทุกฝ่าย
- ‘สภาพลเมือง’ จึงเข้ามาคอยตรวจสอบ ถ่วงดุล ไต่สวน คนที่มาก็มาจากกลุ่มหลากหลายวิชาชีพ กลุ่มในพื้นที่ แล้วแต่จะกำหนดกันขึ้นมา เรียกว่าสภาพลเมือง
“สภาพลเมือง ผมนำมาจากหลักการแนวคิดแถบนิวอิงแลนด์น่ะ สหรัฐอเมริกาตะวันออกเฉียงเหนือ เขาเรียกว่า ‘Town Hall Meeting’ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘Civil Jury’ หรือ ‘Citizen Jury’ ที่แปลว่าลูกขุน แต่เราก็จะไม่แปลว่าลูกขุนหรอก มันจะสับสนกับระบบคำและพ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีขอบเขตที่ท้องถิ่น และเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในเรื่องอำนาจการตัดสินใจ จะยกเว้น 4 อย่างที่ไม่ทำ
- การทหาร
- การต่างประเทศระดับชาติ
- เรื่องการเงินการคลังระดับต่างชาติ
- ระบบศาล
“ทุกหลักที่กล่าวมา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ถ้าเราไม่มีตังค์ ต้องรอจากส่วนกลางสนับสนุน เราก็เอาโมเดลจากญี่ปุ่นมาอีกเหมือนกัน ก็คือว่า ‘ปรับรายได้’ ซะ ในช่วงนั้น เราก็ตั้งกันไว้ว่า ภาษีที่เกิดจากรายได้หรืออะไรก็ตามจากเชียงใหม่ ให้เชียงใหม่เก็บไว้ 70% ส่งส่วนกลาง 30% คล้ายๆ กับญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเก็บเข้าท้องถิ่น 60% ส่งส่วนกลาง 40% ทำนองนี้ ตัวเลขอาจไม่ exactly ขนาดนั้น แต่ว่าของเราจะประมาณนี้ เป็นการเสนอร่าง พ.ร.บ. เชียงใหม่มหานครครั้งแรก
“แต่ (การเสนอร่างฯ) ครั้งที่ 2 เราปรับเป็นร้อยละ 50 เพราะว่าโอกาสเป็นไปได้มันคงยาก 70% เข้าท้องถิ่น ส่วนกลางคงไม่ยอม
“เราทำกันมา รณรงค์กันมา เชียงใหม่มีอยู่ 25 อำเภอ เราลงไป 40 เวที จังหวัดอื่นๆ เขาก็เอาด้วย มาดูตัวอย่าง มาดูรูปแบบ ก็มีหลายจังหวัดที่สนใจกับเรา ทางเราเลยใช้ชื่อเครือข่ายใช้ว่า ‘เชียงใหม่จัดการตนเอง’ แปลงมาจาก ‘การพึ่งพาตนเอง’ มันมีคำว่า ‘จังหวัดจัดการตนเอง’ ทีนี้ก็เกิดกระแส จากเชียงใหม่เป็นรากต้นกำเนิด ทำให้จังหวัดอื่นๆ ก็เอาบ้าง ใช้ชื่อจังหวัดต่อด้วยคำว่าจัดการตนเอง ตอนนั้นมีทั้งเข้มแข็งและไม่เข้มแข็ง รวมกันได้ถึง 58 จังหวัด ที่ร่วมรณรงค์กัน
“ภาคใต้ก็มาดูงาน ภาคอื่นก็มาดูกัน แลกเปลี่ยนกันสนุกสนานประมาณช่วงปี พ.ศ. 2552-2554 ช่วงนี้ก็เริ่มรวมรายชื่อ เรารณรงค์จนถึงเดือนตุลาคมปี พ.ศ. 2556 เราก็เสนอกฎหมาย โดยประชาชนลงชื่อ กว่าจะได้รายชื่อมายากมาก ต้องใช้บัตรประชาชน ต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้านต่างๆ แต่เราก็ทำจนได้ และเราก็เสนอเข้าไปที่สภา สภาก็ตตรวจรายชื่อ
“ตรวจรายชื่ออยู่ดีๆ คุณยิ่งลักษณ์ยุบสภาพอดีในเดือนพฤศจิกายน แต่เรามีความหวังอยู่ว่ามันจะกลับมาได้อยู่ ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ แล้วก็สามารถกลับเข้ามาได้ภายใน 60 วัน ตามที่ควรจะเป็น
“แต่ปรากฏว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 เกิดการรัฐประหารของ คสช.(คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) กฎหมายมันก็เลยตกไปโดยสิ้นเชิง”
ทุกการรัฐประหาร ความก้าวหน้าทางการเมืองจะถอยหลัง

“ในระหว่างนั้น มีจังหวัดต่างๆ รณรงค์ทำเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง ต่างคนต่างก็มี ร่าง พ.ร.บ. เป็นของตนเอง คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ยุบไปแล้ว คืออาจารย์คณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็บอกว่า ถ้ามาทำอย่างนี้นี่ตายเลย ถ้า 75-76 จังหวัดมาทำ กว่ามันจะเสร็จก็เป็น 75-76 ฉบับ
“เขาก็คิดว่าจะร่างกฎหมายกลางขึ้นมา ใช้คำว่า พ.ร.บ. บริหารจังหวัดปกครองตนเอง ต้องใช้คำว่า ‘ปกครอง’ เพราะว่าในรัฐธรรมนูญเขียนมาตรา 281 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ใช้คำว่าปกครองตนเอง
“เปลี่ยนจาก ‘จัดการ’ เป็น ‘ปกครอง’ ก็ได้ไม่เป็นไร เรานัดกันว่าจะเดินรณรงค์กัน ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก ลงไปที่กรุงเทพฯ แล้วทำเป็นกฎหมายกลาง กฎหมายกลางก็หมายว่ามีฉบับเดียวพอ ส่วนที่เหลือ จังหวัดไหนพร้อมก็ทำประชามติในจังหวัด ออกกฤษฎีกาไป
“แต่ปรากฏว่าเกิดรัฐประหารโดย คสช. ซะก่อน สิ่งนี้ก็เลยไม่ได้เกิดขึ้น แต่คำว่าปกครองตนเองกับจัดการตนเอง ก็มาจากเรื่องราวตรงนี้
“พอของเชียงใหม่มหานครปัดตก แต่ในส่วนของสภาพลเมือง พวกเราก็ยังทำกันอยู่ ถึงแม้กฎหมายจะยังไม่ออกมา เราก็ทำกัน มีการประชุมปัญหาเมือง เรื่องน้ำพอง คลองแม่ข่า เรื่องขนส่งคนจน เรื่องต่างๆ นานา มันมีมรรคมีผลอยู่ เชียงใหม่ก็เข้มแข็ง ภาคประชาสังคมของเชียงใหม่เข้มแข็งอยู่
“แล้วพอเกิดการเลือกตั้งใหม่ มีรัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ. 2560 ถึงแม้รัฐธรรมนูญจะจำกัดอำนาจลงก็ตาม เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น อย่างตัวผมมีส่วนในการขอตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้รับคำชิญชวนว่า อาจารย์มาทำเรื่องพรรคกัน จะได้เดินต่อเรื่องกระจายอำนาจ แล้วผมก็ไป
“ก็ไปเป็นกรรมาธิการการกระจายอำนาจ ทำหน้าที่เป็นประธานอนุ ผมก็ยกร่าง ‘ร่างพระราชบัญญัติจัดการตนเอง’ ขึ้นมาในรูปแบบของการศึกษานะ ศึกษาถึงความเป็นไปได้ ทำเป็นกฎหมายกลางคล้ายๆ จังหวัดปกครองตนเองนี่แหละ แต่บังเอิญยังทำไม่ทันเสร็จ คือเกือบเสร็จแล้ว ก็โดนยุบพรรคซะก่อน
“คนที่ทำต่อก็ทำจนเสร็จ แต่มันเป็นรายงานการศึกษา ตัวร่างยังไม่ได้เกิดเป็นกฎหมายต่างๆ แต่พอมันเกิดกระแสหวนกลับมา หลังการรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 เสร็จ ก็มีการเลือกตั้งทยอยมาเรื่อยๆ มีเลือกตั้ง อบจ. เลือกตั้งเทศบาล เลือกตั้ง อบต. มีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.
“พอมีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เกิดขึ้น มีการรณรงค์ มีการออกข่าวไปทั่วประเทศ ขนาดเลือกตั้งแค่จังหวัดเดียวนะ เชียงใหม่เราก็บอกว่า เฮ้ย เราก็เคยทำรื่องพวกนี้ เราก็มาทำกันใหม่สิ ถึงแม้กฎหมายมันยังไม่ได้ เราก็มารณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าเชียงใหม่ดีกว่าไหม
“วันที่เขาหย่อนบัตรกันที่กรุงเทพฯ เลือกตั้งที่ได้คุณชัชชาติมา เชียงใหม่เราก็ทำที่ประตูท่าแพจำลองเป็นการเลือกตั้งจำลอง
“คนก็เฮโรกันมา แล้วเราทำประชาพิจารณ์ คนที่มาเขาก็เห็นด้วย พวกเราก็เซ็ตกันขึ้นมาใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นชุดเดิมนั่นแหละ มีผมในฐานะที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เขาก็ดูว่าอย่างน้อยสุดก็ไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงมากนัก เราอยากให้ภาคประชาสังคมเป็นแกนนำ
“ก็เลยมาขับเคลื่อน รวมกัน 26 คน เพราะกฎหมายกำหนดว่าให้อย่างน้อย 20 คน เรียกว่าเป็นคนริเริ่มร่าง พ.ร.บ. แล้วก็เอาฉบับเชียงใหม่จัดการตนเองเดิมกับบริหารจังหวัดปกครองตนเอง มาปัดฝุ่น แล้วรวมกันเข้ามา ร่างกัน จนยกมาเสนอ โดยไปขออนุญาตต่อประธานรัฐสภาว่ากฎหมายนี้เราจะขออนุมัติลงชื่อ ประธานสภาก็อนุญาตกลับมา แล้วก็เริ่มการรณรงค์ เมื่อปีที่แล้ว (2567) โดยประธานวันนอร์
“หลายๆ คนร่วมการรณรงค์ คราวนี้ระหว่างระดมรายชื่อกัน ซึ่งได้เกือบประมาณ 10,000 รายชื่อแล้ว เราก็ต้องเผื่อไว้หน่อยนึง มันจะมีกิจกรรมกันต่างๆ ตอนแรกเราจะให้ทันเสนอรัฐสภา แต่เราดูแล้วยังไงมันก็คงยุบสภาใช่ไหม เรากลัวเสียของ เราก็เลยกะว่าพอมีสภาชุดใหม่ขึ้นมาเมื่อไหร่ เราก็จะเสนอเข้าไป อันนี้เป็นลำดับที่มา
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือวิวัฒนาการ ที่มาที่ไปของการรณรงค์ เรามีจัดเวทีบ้าง ก็เป็นแบบธรรมชาติเลย ทุกคนช่วยกัน เช่น วันที่ 18 มกราคม 2569 เราจะมีการเดินวิ่งเพื่อ ‘เชียงใหม่มหานคร’ พบกันลานครูบาศรีวิชัยและเดิน-วิ่ง เข้าไปในมหาวิทยาลัยหน้าบางตรงดอยสุเทพ”





