- บ้านๆ น่านๆ คือห้องสมุดที่มีชีวิตชีวา เป็นพื้นที่ของเรื่องเล่า งานเขียน และบทสนทนาของผู้คน ห้องสมุดแห่งนี้เชื่อในความงามของการอ่านและการเขียน และยังนิยามตัวเองว่าเป็นห้องสมุดของพลเมืองโลก
- จากสองมือของ ‘ครูต้อม’ ชโลมใจ ชยพันธนาการ และกลุ่มเพื่อน ทำให้บ้านๆ น่านๆ เปิดดำเนินการทั้งห้องสมุด ร้านหนังสือ ร้านกาแฟ ที่พัก และสถานที่จัดกิจกรรมเพื่อคนทุกเพศทุกวัย คำขยายความอย่าง “Library & Guest Home” จึงทำให้เรารู้สึกถึงพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
- กว่า 12 ปีที่ผ่านมา บ้านๆ น่านๆ กลายเป็นพื้นที่หนึ่งที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยศิลปะและความเชื่อที่ว่า องค์ความรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่เพียงศูนย์กลาง

คุณค่าที่ห้องสมุดและบ้านๆ น่านๆ มอบให้กับผู้คนและสังคม ไม่ใช่แค่การเป็นห้องสมุดที่เปิดรับทุกคนจากทุกที่ แต่ยังเป็นพื้นที่ของการเขียนและอ่าน ทั้งเขียนหนังสือ บทกวี อ่านหนังสือ อ่านคน อ่านความรู้สึก โดย ‘ครูต้อม’ หรือ ชโลมใจ ชยพันธนาการ ผู้สร้างพื้นที่บ้านๆน่านๆ ให้ทุกคนได้มาทำกิจกรรม โดยเริ่มจากความชอบหนังสือของตนเองตั้งแต่เด็ก เมื่อมีโอกาส ครูต้อมสร้างห้องสมุด บ้านๆ น่านๆ ขึ้นมา โดยหวังว่าจะเป็นพื้นที่ที่ได้ต้อนรับทุกคน เป็นพื้นที่โอบกอดทุกคนด้วยการอ่านและเขียน

“มันเป็นความชอบของครูตั้งแต่ตอนครูเด็กๆ แล้วนะ ที่ครูจำได้ เรื่องราวคือเราชอบภาพ ชอบการ์ด สมัยก่อนมันจะมีหนังสือต่างประเทศ ซึ่งมันเป็นหนังสือสำหรับเด็ก แผ่นกระดาษก็จะแข็งๆ หนาๆ มีรูปสีสันแล้วพื้นกระดาษสีขาว ครูเห็นความงามของมัน เหมือนโปสต์การ์ดก็เช่นกัน มันก็ฝังอยู่ในใจ”ครูต้อมกล่าว
เธอเล่าว่า เธอเห็นความงามของการอ่านและการเขียน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเรื่องราว การอ่านรูป การเขียนรูป การอ่านจิตใจผู้คน และจะมีคนที่เห็นสิ่งเหล่านี้กับคนที่ยังไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ว่ามันมีความงามที่ลึกซึ้ง และถ้าครูต้อมทำเรื่องห้องสมุด บ้านๆ น่านๆ จะทำให้คนที่ยังไม่เห็นคุณค่าความงาม ถ้าห้องสมุดแห่งนี้ทำให้คนกลุ่มนี้เห็นค่าของความงามในการอ่าน การเขียน สิ่งที่จะได้คือ การเพิ่มจำนวนประชากรของผู้คนที่สนใจในสิ่งที่เธอเห็นว่ามีค่ามีประโยชน์ขึ้นเรื่อย ๆ
จากครูภาษาไทยและแรงขับเคลื่อนด้วยใน การอ่านและเขียน
ครูต้อมเป็นครูภาษาไทยที่เกษียณตัวเองก่อนอายุเกษียณราชการตามปกติ ก่อนลาออกครูต้อมมาทำห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ ไว้แล้ว แต่เปิดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ “พอเราลาออกเราก็ได้ทำเต็มเวลา ปัจจุบันนี้ก็คือทำห้องสมุด ทำร้านกาแฟ ร้านขายหนังสือ ทำที่พัก ทำอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ว่าอย่างละนิดอย่างละหน่อยมันเป็นอย่างที่จริงจังแล้วก็ลึก” เธอกล่าว
“ครูว่ามันน่าจะมานั่งคิดเนาะ มันเป็นความชอบของครูตั้งแต่ตอนครูเป็นเด็กๆ แล้วนะ” เธอเล่าว่า อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เธอทำห้องสมุดนั้นมาจากการเติบโตมากับน้าของเธอ ซึ่งเป็นครูอยู่ห้องสมุด และที่บ้านก็เป็นบ้านที่อ่านหนังสือกัน และในตอนที่เธอยังสอนที่โรงเรียนเพชรพิทยาคม ทำอาชีพคุณครู ก็ได้สอนเด็กๆ เขียนหนังสือ ทำหนังสือ วาดภาพอยู่แล้ว ทำให้เธอเห็นคุณค่าและความงาม จนตกหลุมรักการอ่าน การเขียน หนังสือและห้องสมุดไปโดยปริยาย นอกจากนี้ครูต้อมยังเป็นคนชอบจัดบ้าน และชอบต้นไม้ “พอครูกลับมาอยู่เมืองน่าน ครูเห็นคนเมืองน่าน เขามีพื้นที่ของตัวเอง เช่น หอศิลป์ริมน่าน หอศิลป์พิงพฤกษ์ มันเป็นอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง มันมีประโยชน์ มีความหมาย แล้วก็ตัวผู้ที่ลงมือทำก็มีความสุข” ครูต้อมเล่าว่าเมื่อได้เห็นว่า ‘การสร้างพื้นที่’ มันเต็มไปด้วยความหมายและความสุข และจังหวะชีวิตที่ทำให้เธอได้บ้านหลังนี้มาด้วยความจำเป็น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ และเธอเองก็อยากมีอาณาจักรของเล็กๆ ของตัวเอง จึงเป็นโอกาสที่ดี และเปลี่ยนจังหวะชีวิตที่จำเป็นต้องซื้อบ้าน ให้เป็นการสร้างอาณาจักรของหนังสือ งานเขียนแทน
“พอครูมาคิดทำเรื่องห้องสมุด เรามีพื้นที่ที่จะทำกิจกรรม ห้องสมุดที่เป็นพื้นที่เล่าและแบ่งปันเรื่องเล่าผ่านผู้คนและงานเขียนทุกรูปแบบ” ครูต้อมกล่าว
“ครูว่าเราเอาความชอบเป็นที่ตั้ง คือครูเป็นคนสันดานแบบ ถ้าชอบอะไรแล้วจะทำ ถ้าไม่ชอบจะฝืนไม่ได้ ซึ่งเราพยายามแก้ตัวเองอยู่” ครูต้อมกล่าวและเล่าว่าก่อนที่บ้านๆ น่านๆ เริ่มกำเนิด เธอก็คิดเรื่องการตั้งชื่อบ้าน
“จะตั้งชื่อว่ายังไงดีน้อ? ก็คือในใจคิดว่า พอเราทำห้องสมุด ในอนาคตเราอยากจะให้ห้องสมุดสามารถที่เลี้ยงชีพเราได้ด้วยนะ เป็นห้องสมุดที่ไม่ใช่มีแค่หนังสือ มันต้องมีกิจกรรม จะต้องไม่แข็ง ต้องผ่อนคลาย เข้าห้องสมุดแล้วต้องผ่อนคลาย ไม่รู้สึกตึง เราตั้งใจจะทำอย่างนั้น”
ครูต้อมเล่าถึงภาพที่ฝันถึงห้องสมุดของเธอก่อนที่จะเริ่มตั้งชื่อว่า ‘บ้านๆ น่านๆ’ เป็นห้องสมุดและที่พัก เน้นความสบายๆ อยู่แล้วสบายใจ

“ครูก็ไปถามครูภาษาอังกฤษว่า มันใช้ได้ไหม Library&Guest Home เพราะเรามีแต่คำว่า เกสต์เฮาส์ แต่คำว่า House มันห่างเหินกันเกินไป ก็เลยหาคำที่ใกล้ชิดขึ้น แต่ไม่ถึงระดับโฮมสเตย์ เพราะเราไม่ได้ดูแลใกล้ชิดขนาดนั้น เขาบอกได้” ครูต้อมเล่าถึงที่มาของชื่อ “บ้านว่า บ้านๆ น่านๆ ห้องสมุดและเกสต์โฮม” ครูต้อมเล่าถึงที่มาของชื่อบ้าน และอยากให้คนที่มาเห็นว่าที่นี่เป็นห้องสมุดที่มีชีวิตชีวา มีกิจกรรมให้แลกเปลี่ยนและมีส่วนร่วมผ่านบทสนทนาหรืองานเขียนต่างๆ และเป็นที่พักเช่นกัน
ห้องสมุดแห่งนี้ ก็เป็นห้องสมุดที่เปิดฟรีเพื่อพลเมืองโลก แล้วก็มีกิจกรรมอยู่เรื่อยๆ ตลอดปี โดยที่มีเพื่อนๆ มาช่วยกันคิดช่วยกันทำ เพื่อนนักเขียน เพื่อนคนเขียนรูป เพื่อนนักข่าว เช่น หนึ่ง-วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ทำค่ายนักเขียนหนังสือ ค่ายวรรณกรรม กิจกรรมต่างๆ เพื่อที่ห้องสมุดจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามาถมาเรียนรู้และสัมผัสความละเอียดอ่อนระหว่างกระดาษและตัวอักษรที่จัดร้อยเรียงในหนังสือ และมีบทสนทนาให้ผู้คนได้หยิบมาพูดคุยในห้องสมุดแห่งนี้
ดังนั้นห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ จึงไม่ได้ดำเนินไปด้วยครูต้อมคนเดียว แต่ยังต้องอาศัยการสนับสนุนแรงกายและใจจากเพื่อนๆ ที่เข้ามาช่วย

พื้นที่ของพลเมืองโลก ที่ทุกคนสามารถแบ่งปันกันใช้ห้องสมุดได้
“มันเป็นไปตามที่เราตั้งใจไว้เลย มันเติบโตขึ้นมากๆ เป็นที่รู้จักของคน คนที่อยู่ในวงการ คนที่ชอบอ่านชอบเขียน คนที่ชอบศิลปะ ประกอบกับเมือง น่านเป็นเมืองท่องเที่ยว ในฤดูท่องเที่ยวก็จะมีนักท่องเที่ยวมา” ครูต้อมกล่าว
เธอเล่าว่าพื้นที่ห้องสมุดจะมีกิจกรรมเสมอ ไม่เคยเงียบเหงา เป็นบ้านที่เปิดประตูต้อนรับทุกคนตลอด “ตอนนี้เราก็ไปทำกิจกรรมให้เด็กๆ อย่างเช่นงาน Library Song ก็จะเปิดพื้นที่ให้เด็กเข้ามาเล่นดนตรี คือครูเห็นตอนอยู่ที่โรงเรียน วันสุนทรภู่ วันวิทยาศาสตร์ หรือวันอื่นๆ เด็กๆ ก็จะมาต่อคิวกันเล่นดนตรี ใน 1 วัน จะมีวงประมาณ 30 วง รอขึ้นไปเล่น ไปปล่อยของ เราก็มองว่าเด็กไม่มีพื้นที่ ครูก็เลยให้ห้องสมุดเนี่ย เปิดเป็นพื้นที่ให้เขา มาทำกันอยู่ 2 เดือน ในช่วงฤดูท่องเที่ยว” ครูต้อมกล่าว

ในช่วงฤดูท่องเที่ยวจะมีแขกมาพักที่บ้านๆ น่านๆ ครูต้อมก็เปิดพื้นที่ห้องสมุดให้เด็กๆ เปิดหมวกเล่นดนตรี โดยมีอุปกรณ์ ไมโครโฟน มิกเซอร์ ลำโพง และพวกเครื่องเสียงให้ เด็ ๆ ก็จะหิ้วเครื่องดนตรีของตัวเองมาเล่นที่นี่
“ซึ่งมันก็น่ารักมาก เด็กได้เงิน เด็กก็ชื่นใจ แต่ว่าบางวันก็ไม่ได้มีนักท่องเที่ยว ไม่มีคนมา ได้ตังค์น้อย เรานี่แหละก็เอาเงินหย่อนลงไปให้” ครูต้อมกล่าวและเล่าว่างานเหล่านี้ได้คิดกับหนึ่ง และเพื่อนๆ เป็นหลัก และยังมีกิจกรรมสำหรับเด็กเล็ก โดยเป็น เพื่อนจากต่างประเทศ ซึ่งเคยทำงานบรรณารักษ์ที่ต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนปีละครั้งและเขาจะจัด “กิจกรรมเล่านิทาน” ณ ห้องสมุดแห่งนี้ โดยเปิดฟรีให้ผู้ปกครองและเด็กๆ มาฟังนิทาน ผ่านการสมัครมา เพราะพื้นที่รองรับเยอะสูงสุดที่ 30 คน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทั้งผู้ปกครองและเด็กๆ ชื่นชอบมาก

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมในวันปีใหม่ ก็มาพูดคุยกัน มา “แลก-เล่าวันปีใหม่ คำว่า เล่า คือ Talk ก็เล่นคำไป” ครูต้อมอธิบาย
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมของหนึ่ง– วรพจน์ พันธึ์พงศ์ ในฐานะผู้ร่วมคิด ร่วมแรงทำบ้านๆ น่านๆ ขึ้นมา ก็มีกิจกรรมที่เหล่านักเขียน นักอ่าน นักกวีรอประจำทุกปี ‘Nan Poesie’ (น่าน โปเอซี) เป็นกิจกรรมที่จัดทุกปี ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ทำสิ่งอยากทำ เช่น ร่ายกวีที่เขียนเตรียมมาจากบ้าน การขอคำแนะนำงานเขียน การแลกเปลี่ยนเรื่องราว และอื่นๆ ซึ่งเป็นการเปิดทางเลือกให้คนที่ชื่นชอบงานเขียนเลือกมาที่บ้านๆ น่านๆ ได้ทุกปี โดยไม่ต้องรอให้มีการจัดงานที่กรุงเทพฯ และกระจายอำนาจ ความรู้ด้านงานเขียนให้คนในพื้นที่ได้เจอกับคนต่างถิ่น การแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน โดยได้เจอตัวกันและสบตา หนึ่งเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนเช่นนี้จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ และงาน Nan Poesie ได้เป็นหมุดหมายด้านความรู้ของการทำงานเขียน ทำให้ทุกๆ ปีที่เขาจัดงานนี้ จะมีคนหลากหลายวัย ผู้คนต่างถิ่นจากพรมแดนซักที่บนโลกใบนี้ ไหลมารวมตัวกัน โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน แม้แต่นักเขียนชื่อดังก็เช่นกัน ทุกคนเลือกมาบ้านๆ น่านๆเพื่อสร้างมิตรภาพใหม่กับคนแปลกหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราว งานเขียน อ่านหนังสือของเพื่อน ฟังความรู้สึกในเสียงของผู้ร่ายกวี ความสนุกของการแลกเปลี่ยนและมิตรภาพต่างวัย ต่างประสบการณ์ เกิดเป็นเครือข่ายขึ้นเองโดยธรรมชาติ หลายคนที่เคยไปมักจะกลับไปซ้ำ เพื่อเจอเพื่อนๆ และเพื่อพบเพื่อนใหม่ หลายคนมักจะเฝ้ารอทุกต้นปีว่างาน Nan Poesie จะจัดวันไหน นี่คือสิ่งที่ห้องสมุดแห่งนี้ได้โอบอุ้มทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน ห้องสมุดแห่งนี้เป็นทั้งเป็นพยานและผู้บันทึกความงามของการมีพื้นที่ให้ได้แบ่งปันร่วมกันและบันทึกทุกความรู้สึกในใจผู้คน

‘Nan Poesie’ นอกจากจะเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนงานเขียน งานอ่าน หนึ่งยังได้พบว่าความรู้คืออำนาจ และมันกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่น่านต้องรอคนมีความรู้จากกรุงเทพฯ มาหา ความท้าทายนี้คือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ Nan Poesie มีแรงดึงดูดและท้าทายสังคมที่อำนาจยังรวมศูนย์ที่ส่วนกลางไปในตัว
บ้านๆ น่านๆ ยังมี ‘น่านไดอะล็อก (Nan Dialogue)’ งานที่หนึ่งในฐานะ “นักสัมภาษณ์” ระดับต้นๆ ของประเทศจะมาสอนด้วยตัวเองพร้อมเพื่อนนักเขียนที่เป็นแนวหน้าในวงการงานเขียน งานสื่อสาร เช่น ‘ฉ่ำ’ หรือ องอาจ จิระอร ในฐานะบรรณาธิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตหนังสือ เจ้าของนามปากกา ‘การะเกด’ และในฐานะนักวิจารณ์ภาพยนต์และนักเขียนสารคดี ก็จะมาสอนด้วยเช่นกัน ด้วยความเชื่อว่า ความรู้ที่มีจะต้องกระจายสู่คนรุ่นใหม่ และต้องไม่กระจุกความรู้ไว้ศูนย์กลาง ซึ่งก็เป็นงานที่ผู้เข้าร่วมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะที่พักและอาหารดูแลโดยบ้านๆ น่านๆ

“เวลาเราจัดกิจกรรม เงินไม่พอเราก็ไม่สนใจ ซึ่งเรา พี่หนึ่ง แเพื่อนละเพื่อนๆ พี่หนึ่ง ก็ทำงานกันด้วยความรัก ความชอบ ความเห็นประโยชน์ของพื้นที่ห้องสมุด” ครูต้อมเล่าว่าแม้ขาดทุนเรื่องเงิน แต่ก็ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพราะคุณค่าของพื้นที่ที่ได้แบ่งปันเรื่องเล่า เป็นคุณค่าและความงามที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ และห้องสมุดแห่งนี้จะเป็นพื้นที่เปิดต้อนรับทุกเรื่องราว ทุกการแลกเปลี่ยนเสมอ
ร้านหนังสือขนาดเล็กช่วยเหลือกันและกัน

เมื่อได้บ้านมา ครูต้อมเริ่มลงทุนกู้เงินธนาคารมารีโนเวทบ้าน เพื่อถมดินให้บ้าน สูงขึ้นประมาณหนึ่งล้านกว่าบาท เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ทำให้การเก็บของทุกครั้งที่น้ำท่วมหลายๆ ปีต่อกันก็ทำให้ครูต้อมหมดแรง หลังจากนั้นนั้นนั้นใช้เวลา 2 ปีในการถมดินและรีโนเวทบ้าน น้ำก็ไม่ท่วมเข้าต้วบ้านและบ้านๆ น่านๆ และพื้นที่นี้ก็เปิดตัวมาอย่างยาวนาน
จนกระทั่ง ปี 2566 – 2568 น้ำท่วมสูงขึ้นและกลายเป็นปัญหาให้ห้องสมุดต้องยกของขึ้นที่สูงบ่อยครั้ง ปีนี้ก็เช่นกัน
“โอ๊ย ตอนครูลงมาดูในเช้ามืดวันที่น้ำท่วม เรายังลงไปห้องสมุดไม่ได้ เพราะว่าน้ำมันยังอยู่ระดับเกือบสูงสุด เราก็อยู่ตรงบันได แล้วเราก็มองไปตรงที่ชั้นหนังสือ ก็มีหนังสือขายที่ทั้งห่อพลาสติก ทั้งไม่มีห่อพลาสติก แต่หนังสือของห้องสมุดมันไม่ได้ห่อพลาสติก แล้วหนังสือพวกนี้ก็จะจมลงไปในน้ำ ยุ่ยไป แต่หนังสือห่อพลาสติกมันลอย แล้วน้ำเป็นขี้โคลน ภาพน้ำท่วมแล้วมีหนังสือสภาพแบบนี้ กลายเป็นเหมือนกับตู้กระจกที่มีหนังสือลอยเต็มไปหมด โอ้โห แบบ… เจ็บปวดหัวใจ” ครูต้อมอธิบายถึงความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งล่าสุด ซึ่งทำให้เธอเจ็บปวดหัวใจมาก แต่เวลาผ่านไปก็ทำใจยอมรับและสู้ต่อ

“แน่นอนว่า แม้วันนั้นมันเจ็บปวด เจ็บปวดหัวใจมากๆ แต่พอผ่านวันเวลา เรารู้เลยว่าถ้าเราดิ่งไปกับมันนะ เราแย่แน่ เราจะต้องดึงตัวเองขึ้นมา เราจะปล่อยให้ตัวเองดิ่งอย่างนั้นไม่ได้ แล้วเราไม่อยากจะคุยความทุกข์นี้ให้ใครฟัง ไม่ต้องมีใครมาทุกข์ใจตามไปด้วย” ครูต้อมเลือกใช้วันเวลาให้ปลอบประโลมจิตใจ ยอมรับสิ่งที่เกิด ซ่อมแซมบ้านๆ น่านๆ ต่อ เพื่อให้พื้นที่นี้ได้กลับมาเปิดต้อนรับผู้คนอีกครั้ง
ครูต้อมอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่รับบริจาค และไม่ประกาศขอความช่วยเหลือ เพราะเชื่อว่า บ้านๆ น่านๆ ที่เธอสร้างขึ้นได้ เธอก็จะฟื้นบ้านกลับมาได้ โดยไม่ใช้ความสงสาร
แต่ความเสียหายนี้ไม่ได้นิ่งเงียบ แม้ครูต้อมจะไม่ได้เล่าความทุกข์นี้ให้ใคร แต่ด้วยสถานการณ์น้ำท่วมและผู้คนที่เห็นคุณค่าของพื้นที่ที่แบ่งเรื่องราวมายาวนาน ก็ได้ส่งความช่วยเหลือมาให้ เช่น ร้านหนังสือ A Book with No name จัดกิจกรรมเขียนจดหมายน้อย เพื่อช่วยเหลือบ้านๆ น่านๆ เป็นเงินประมาณ 20,000 กว่าบาท
ครูต้อมเล่าว่ากิจกรรมจดหมายน้อยมีคุณค่ามาก โดยตัวจดหมายน้อยเป็นเสมือน ‘สัญลักษณ์’ ว่าเราเป็นร้านหนังสือขนาดเล็กที่ดูแลกัน
“ถึงแม้ไม่เคยเจอหน้ากันเลยนะ แต่รู้จักกัน ผ่านเรื่องราว ผ่านการงานของพวกเรา ผ่านหนังสือ” ครูต้อมกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงคุณค่าในสิ่งที่ครูต้อมทำว่ามีคนมองเห็นอยู่เสมอ และความงามของพื้นที่งานเขียน อย่างห้องสมุด ก็ได้รับการยืนยันผ่านความช่วยเหลือครั้งนี้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่ามากกว่าแค่ห้องสมุด แต่เป็นพื้นที่ของเรื่องราวมากมาย ที่ห้องสมุดแห่งนี้บันทึกไว้
“ครูก็ได้รับจดหมายน้อยด้วยนะ ครูก็ซาบซึ้ง ครูซาบซึ้งมากเลย… แม้เก็บบ้านแล้วไม่แน่ใจว่าอยู่ไหนแล้ว แต่หาเจอแน่นอน” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
ถ้าท้องถิ่นจัดการตัวเอง แล้วส่วนกลางจัดการอะไร
ความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ทำให้ครูต้อมต้องใจสลายทุกครั้งที่น้ำเข้าห้องสมุดและหนังสือที่เสียหายไป มูลค่าความเสียหายและการซ่อมแซมบ้านก็เป็นราคาที่ครูต้อมต้องแบกรับไว้ แม้ท้องถิ่นจะพยายามจัดการ ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ท้องถิ่น แต่เป็นเรื่องอำนาจท้องถิ่นถูกจำกัดไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้คนที่ได้รับผลกระทบต้องรอ
“คือทุกวันนี้ท้องถิ่นก็จัดการตัวเองอยู่แล้ว ทั้งท้องถิ่นภาครัฐกับท้องถิ่นภาคเอกชน ทุกคนช่วยกันดูแลอยู่แล้ว แต่ส่วนกลางคุณมาให้ความช่วยเหลือเราล่าช้า” ครูต้อมเล่าว่า กระบวนการให้เงินชดเชยเยียวยาประชาชน 9,000 บาทต่อครัวเรือน มีเอกสารและขั้นตอน ที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดของประชาชนแต่ละครัวเรือน เพราะเวลาถูกราชการส่วนกลางตรวจสอบ คนที่รับผิดคือ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น จึงทำให้การเยียวยาต้องผ่านการตรวจสอบหลายชั้น ตามมาด้วยความช่วยเหลือที่ล่าช้า
“แล้วทีนี้เอกสารต่างๆ ที่คนในพื้นที่ต้องเขียนทุกคน ทุกระดับความรู้ ชาวบ้านก็มี คนที่รู้เรื่องก็มี คนที่ไม่รู้เรื่องก็มี เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่วุ่นวายมาก” ครูต้อมอธิบายว่า เมื่อต้องมีการใช้เอกสาร การเยียวยากับแต่ละครัวเรือนจึงยิ่งช้า บางคนไม่ได้มีความรู้เขียนหนังสือไม่ได้ และในเมื่อน้ำท่วมพื้นที่ทุกปี หากอำนาจในการจัดการงบประมาณอยู่ที่ท้องถิ่น ก็จะแก้ปัญหาได้ไวกว่าการรอส่วนกลาง เพราะหน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลประชากรพื้นที่และใกล้ชิดคนในท้องถิ่นมากกว่าส่วนกลาง
“ถ้าสมมุติว่าการจัดการตัวเองเป็นของท้องถิ่น ถ้าจะให้อำนาจเราจริงๆ หมายความว่าจะต้องให้เงินในส่วนนี้ ซึ่งคุณตั้งงบไว้เลย เพื่อที่คุณจะได้อนุมัติทันการณ์และท่วงทันสถานการณ์” ครูต้อมอธิบายการ
“ในยุคที่เทคโนโลยีมันทันสมัย เรามีภาพถ่ายดาวเทียม มีเครื่องมืออะไรต่างๆ คุณก็ชี้ได้แล้วใช้ Google Map ชี้ได้แล้วว่าบ้านแต่ละหลังควรได้เงินชดเชยและมีความเสียหายเป็นอย่างไร บ้านใครอยู่ตรอกซอกซอยไหน คุณตรวจสอบความเสียหายได้ และคุณยังสามารถไปดูว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร ถ้าเงื่อนไขคุณบอกว่าคุณจะให้ชื่อละ 1 บ้าน และข้อมูลประชากรก็ตรวจได้ว่าบ้านชื่อซ้ำกันหรือไม่ ใช้ระบบตรวจสอบคู่ไปกับเทคโนโลยีไปเลย” ครูต้อมให้ข้อเสนอทิ้งท้าย และหวังว่าน้ำท่วมครั้งหน้าจะเกิดการแก้ปัญหาได้ดีกว่าเดิม





