- แนวคิดครอบครัวหลายวัย หรือ Intergeneration Family Living คือการใช้ชีวิตที่ประกอบด้วยคนหลายช่วงวัยในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นตลอดเวลา และสามารถทดแทนข้อจำกัดของแต่ละวัยได้
- บ้านที่มีสมาชิกทั้ง 3 รุ่น มีค่าเฉลี่ยสุขภาพจิตดีกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่ต่ำกว่าครอบครัวรูปแบบอื่น การอยู่ร่วมกับคนหลายวัยยังทำให้ลดปัญหาการแยกตัวทางสังคมในกลุ่มผู้สูงอายุ นำไปสู่การลดความเสี่ยงจากโรคภัยได้
- เมื่อสังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ นอกจากสวัสดิการหรือมาตรการจากภาครัฐแล้ว ไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวหลายวัยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจตอบโจทย์กับสมาชิกครอบครัว
นับตั้งแต่สภาพสังคมเปลี่ยนโฉมหน้าจากการทำเกษตรเลี้ยงชีพหรือช่างฝีมือตามหมู่บ้าน สู่งานในโรงงานและออฟฟิศตามเมืองใหญ่ ความเป็นครอบครัวก็เปลี่ยนแปลงไปตามระบบเศรษฐกิจสังคมด้วยเช่นกัน อาทิ ปู่ย่าตายาย อาจอาศัยที่ต่างจังหวัด พ่อแม่อาจสาละวนทำงานในเขตเมือง ส่วนลูกหลานหน้าดำคร่ำเครียดใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน ครั้นจะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ต้องรอจนถึงวันหยุดยาว สมาชิกครอบครัวต่างรุ่นถึงจะได้รับประทานอาหารร่วมกันสักมื้อ
แม้จะมียามเช้าที่น่าปวดหัว หรือมีมื้อค่ำที่ชวนหนวกหู เชื่อเถอะว่าชีวิตในครอบครัวหลายรุ่นอบอุ่นและไม่เปลี่ยวดายเท่าการใช้ชีวิตตามลำพัง ขณะเดียวกัน เมื่อสังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (สังคมที่ประชากรอายุเกิน 60 ปี มีมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด) ไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวหลายวัย หรือ Intergeneration Family Living หรือครอบครัวหลายรุ่นใต้ชายคาเดียวกัน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจตอบโจทย์กับสมาชิกครอบครัว

เมื่ออยู่ด้วยกันอุ่นใจกว่า
แนวคิด Intergeneration Family Living คือการใช้ชีวิตที่ประกอบด้วยคนหลายช่วงวัยในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นตลอดเวลา และสามารถทดแทนข้อจำกัดของแต่ละวัยได้
เริ่มจากคนรุ่นพ่อแม่ที่ต้องรับศึกหนักในการหารายได้ ย่อมมีเวลาเลี้ยงดูเด็กหนึ่งคนน้อยมาก จุดนี้เองที่ปู่ย่าตายายจะเข้ามามีบทบาทในการเลี้ยงหลาน ส่วนหนึ่งเพื่อแบ่งเบาภาระสมาชิกครอบครัววัยทำงาน อีกส่วนคือการใช้ชีวิตที่มีกิจกรรมและมีปฏิสัมพันธ์ ส่วนเด็กก็จะได้รับการเลี้ยงดู ได้คำแนะนำ ได้คำปรึกษาจากผู้ใหญ่ มากไปกว่านั้น ผู้สูงอายุที่มักประสบอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น ตกเตียงหรือลื่นล้มในห้องน้ำ ก็ย่อมได้รับความช่วยเหลือที่รวดเร็วกว่าการใช้ชีวิตตามลำพัง ที่สำคัญ เด็กยังคงมีโอกาสใกล้ชิดกับพ่อแม่ในช่วงเลิกงานหรือวันหยุด ซึ่งต่างจากลักษณะของครอบครัวแหว่งกลางที่หลานจะอาศัยกับปู่ย่าตายายในบ้านเกิด ขณะที่พ่อแม่ทำงานในอีกเมืองหนึ่ง ทำให้การอยู่แบบครอบครัวหลายรุ่นมีความอบอุ่นมากกว่าอย่างปฏิเสธไม่ได้
แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกับคนหลากหลายวัย ย่อมมีบทสนทนาที่ไม่ลงรอยจากความต่างระหว่างช่วงวัย (Generaion Gap) แต่ขึ้นชื่อว่าครอบครัว ปัญหาใดใดย่อมได้รับการเยียวยาหากใช้เวลามากพอ การกระทบกระทั่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือบทเรียนของการอยูร่วมกับผู้อื่นในสังคม นี่คือความเป็นไปคร่าว ๆ ของวิถีชีวิตในครอบครัวหลายรุ่นหลากเจน

กระนั้น แนวโน้มของการกลับไปหาครอบครัวใหญ่ไม่ได้เป็นผลจากวัฒนธรรมแบบหมู่รวมหรือสังคมเครือญาติองไทยในอดีตเท่านั้น เพราะ Intergeneration Family Living ยังเป็นเทรนด์ในสหรัฐอเมริกากว่าทษวรรษที่ผ่านมา ประชากรวัยผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายรุ่นของสหรัฐฯ ครึ่งหนึ่งรู้สึกว่า พวกเขาสามารถจัดการชีวิตได้สะดวกและง่ายดายมากขึ้น แต่สมาชิกครอบครัวในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (25-39 ปี) ที่อาศัยในบ้านพ่อแม่ กล่าวว่า การอยู่ร่วมกับผู้ใหญ่ในวัยอื่นสามารถเกิดความเครียดได้เกือบตลอดเวลา
สมาชิกครอบครัววัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีรายได้น้อย ยังมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าบ้านมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ทว่าวัยผู้ใหญ่ตอนต้นนี้เองที่รู้สึกว่า การอยู่ในครอบครัวหลายรุ่นสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะมีส่วนน้อยมากที่พวกเขาจะช่วยค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
รายงานของ Generations United ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ราว 1 ใน 4 ล้วนอาศัยในครอบครัวหลายรุ่น การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบครอบครัวในสังคมอเมริกา แม้อาจมีต้นตอมาจากสภาพเศรษฐกิจที่คนหนุ่มสาวเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ยากขึ้น แต่สมาชิกในครอบครัวหลายรุ่นมีอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่ต่ำกว่าครอบครัวรูปแบบอื่น การอยู่ร่วมกับคนหลายวัยยังทำให้ลดปัญหาการแยกตัวทางสังคมในกลุ่มผู้สูงอายุ นำไปสู่การลดความเสี่ยงจากโรคภัยทางกายและสุขภาพจิตได้

บนทางเดินสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ครอบครัวหลายวัยอาจเป็นคำตอบ
ในภาพกว้าง กรมการปกครอง ระบุว่า เดือนธันวาคม 2566 ไทยมีประชากรอายุเกิน 60 ปี จำนวน 13,064,929 คน คิดเป็น 20.17% ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ระหว่างเดือนมกราคมจนถึงเดือนตุลาคม 2566 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 433,050 คน และค่าเฉลี่ยเด็กเกิดใหม่นับแต่ปี 2564 มีเพียงปีละ 500,000 คน ทำให้คาดว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aged Society) ภายในปี 2576 ผลกระทบคือ กำลังซื้อและการบริโภคระดับครัวเรือนจะลดลง จำนวนแรงงานในประเทศลดลง คนรุ่นใหม่แบกภาระมากขึ้น รวมถึงความใกล้ชิดของเครือญาติ ครอบครัวขยาย กระทั่งความผูกพันในครอบครัวอาจลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในปี 2562 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 15-65 ปี จำนวน 400 คน พบว่า 70.8% ต้องการอาศัยในบ้านที่มีสมาชิกหลายรุ่น 30.3% มองว่าการไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันเป็นข้อจำกัดแรกของการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว 80.7% ของคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องการอาศัยร่วมกับคนรุ่นอื่นในบ้าน และกว่า 78.9% ต้องการอยู่ร่วมกัน 3 รุ่น นอกจากนี้ บ้านที่มีสมาชิกทั้ง 3 รุ่น มีค่าเฉลี่ยสุขภาพจิตดีกว่าครอบครัวรูปแบบอื่น

สังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คือมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มีมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ ยิ่งทำให้เกิดความต้องการกลับไปใช้ชีวิตร่วมกันตามฉบับครอบครัวดั้งเดิม ทว่าสิ่งที่น่าขบคิดต่อคือ หากจำนวนคนรุ่นใหม่ลดน้อยถอยลงไปสวนทางกับผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น ค่าเฉลี่ยอายุของสมาชิกครอบครัวย่อมต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ภาระทางการเงินย่อมพอกพูนไปที่กลุ่มวัยทำงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังคงอยู่ที่ 600-1,000 บาทต่อเดือน ภาระหลังแอ่นนี้จะตกไปที่ไม่กี่คนในครอบครัว
ปัจจุบัน มีหลายความพยายามเพิ่มสวัสดิการผู้สูงอายุ เช่น คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการโดยรัฐเห็นชอบปรับขึ้นเบี้ยผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้จ่ายแบบถ้วนหน้า 1,000 บาทต่อเดือนต่อคน (ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีต่อไป) ส่วนกรมกิจการผู้สูงอายุมีมาตรการสนับสนุนให้ลูกหลานที่ต้องการดูแลญาติหรือคนในชุมชนที่เป็นผู้สูงอายุแต่ไม่มีผู้ดูแล จำนวนเงินไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือนต่อคน แต่โครงการนี้รองรับได้เพียง 1,107 รายเท่านั้นต่อปีงบประมาณ หรือกรรมธิการสวัสดิการสังคม ได้เสนอจากการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ เป็นบำนาญพื้นฐานประชาชน โดยจ่ายแบบถ้วนหน้า 3,000 บาท ก็เป็นอีกขั้นของความพยายามจากภาครัฐเพื่อให้ความเป็นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าใช้จ่ายมากนัก ขณะที่หากแหล่งงานกระจายออกจากเขตเมืองใหญ่ ก็อาจเพิ่มทางเลือกให้ครอบครัวหารุ่นได้ตัดสินใจใช้ชีวิตในพื้นที่ที่เหมาะกับตัวเอง

ท้ายสุด Intergeneration Family Living ให้ภาพของครอบครัวที่สดใส ทุกคนเกื้อกูลกันได้ตามกำลัง ปู่ย่าตายายสามารถจูงหลานเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เหล่าวัยรุ่นเรียนจบใหม่ก็ไม่ต้องคร่ำเครียดกับการหางานถ่ายเดียว ขณะที่เจนวายและเจนเอ็กซ์ซึ่งเป็นแกนกลางของครอบครัวก็สบายใจได้ระดับหนึ่งหากมีสวัสดิการที่ดีพอรองรับคนในครอบครัวได้ ถัดจากนั้น หน้าที่ของครอบครัวจะสามารถทำงานได้เต็มกำลัง ปลอบโยน ให้กำลังใจ และเห็นชีวิตของกันและกันในทุก ๆ วัน โดยไม่ต้องรอลุ้นว่าปีนี้จะได้กินข้าวร่วมกันสักมื้อหรือเปล่า
บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ้างอิง
- thematter.co
- longtunman.com
- pewresearch.org
- jessicadelkins.medium.com
- thairath.co.th
- thairath.co.th
- bot.or.th
- ipsr.mahidol.ac.th
- policywatch.thaipbs.or.th
- policywatch.thaipbs.or.th